อดีต ปชป.ร่วมแสดงความยินดีเปิดตัว 'รวมไทยสร้างชาติ' มติเลือก 'พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค' นั่งหัวหน้า 'เอกนัฏ' เลขาฯ ปัดพรรคอะไหล่ 'ประยุทธ์' - ไม่ใช่ 'ประชาธิปัตย์' สาขาสอง ตั้งเป้ากวาด ส.ส.ทั้งภาคใต้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2565 พรรครวมไทยสร้างชาติ จัดประชุมใหญ่สามาญประจำปี ครั้งที่ 1/2565 เพื่อเปลี่ยนแปลงตราสัญลักษณ์ ปรับปรุงข้อบังคับพรรค พร้อมเลือกคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดใหม่ และย้ายที่ตั้งพรรคไปอยู่ซอยอารีย์ 5
สำหรับตราสัญลักษณ์พรรคใหม่มีลักษณะเป็นแถบสีธงชาติ รวมกันเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม โดยระบุความหมายว่า แถบสีห้าแถบเป็นสีธงไตรรงค์ที่เป็นธงชาติไทย แผ่เป็นฐานมาจากทั้งสองด้านแล้วยังชี้พุ่งขึ้นด้านบนบรรจบรวมกันเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมปลายแหลม หมายถึงการปลอมรวมใจของชาวไทยทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ทุกภูมิภาค และทุกภาคส่วนของสังคมที่หลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ด้วยความรัก ความสามัคคีปรองดอง ความร่วมมือ ความเข้าใจ เพื่อร่วมใจกันสร้างชาติบ้านเมืองอันเป็นบ้านของชาวไทยทุกคนให้เจริญรุ่งเรือง พัฒนาก้าวหน้าไปไม่มีที่สิ้นสุด โดยยึดหลักความศรัทธาและความจงรักภักดีสูงสุดต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อย่างมั่นคง
เลือก‘พีระพันธุ์'นั่งหัวหน้า-'เอกนัฏ’เลขาฯ ปัดพรรคอะไหล่‘ประยุทธ์’
นอกจากนี้ที่ประชุมมีมติเลือก กก.บห. รวม 9 คน ประกอบด้วย 1.นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค 2.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค 3.นายปรากรมศักดิ์ ชุณหะวัณ เหรัญญิกพรรค 4.นายเกรียงยศ สุดลาภา นายทะเบียนสมาชิกพรรค
ส่วน กก.บห.อีก 5 คน คือ 5.นายวิทยา แก้วภราดัย 6.นายดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง 7.นายชื่นชอบ คงอุดม 8.นายวิสุทธิ์ ธรรมเพชร 9.นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์
นอกจากนี้ยังมีมติแต่งตั้งให้นายปองพล อดิเรกสาร และ นพ.ปรีชา มุสิกุล เป็นที่ปรึกษาพรรค
ขณะเดียวกันยังแต่งตั้งณะกรรมการนโยบาย 7 ด้าน ประกอบด้วย 1.นายโกวิทย์ ธารณา ประธานคณะกรรมการนโยบายลดความเหลื่อล้ำ สร้างโอกาส และสังคมที่เท่าเทียม 2.นายปรพล อดิเรกสาร ประธานคณะกรรมการนโยบายแก้ปัญหาค่าครองชีพ หนี้ครัวเรือน และหนี้นอกระบบ 3.นายสิทธิศักดิ์ พัฒนชัย ประธานคณะกรรมการนโยบายแก้ปัญหาหนี้สินครู ชาวนา และเกษตรกร 4.นายธันย์ธรณ์เทพ แย้มอุทัย ประธานคณะกรรมการนโยบายจัดตั้งกองทุนประชาชนและกองทุนชาวนา เกษตรกร 5.นายทศพล กฤตวงศ์วิมาน ประธานคณะกรรมการนโยบายแรงงานและสวัสดิภาพสังคม 6.น.ส.ศิรินันท์ ศิริพานิช ประธานคณะกรรมการนโยบายเด็ก สตรี เยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาส 7.นายสามารถ มะลูลีม ประธานคณะกรรมการนโยบายกีฬาและกิจการมุสลิม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บุคคลที่ได้รับเลือกเป็น กก.บห. และ คณะกรรมการนโยบาย ส่วนใหญ่เป็นอดีตผู้สมัคร หรือ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องภายในพรรคประชาธิปัตย์ และได้ลาออกจากพรรคมาก่อนหน้านี้ อาทิ นายพีระพันธุ์ ลาออกเมื่อ ธ.ค.2562 , นายเอกนัฏ ลาออกเมื่อ มี.ค.2565 นายวิทยา ลาออกเมื่อ เม.ย.2565 , นพ.ปรีชา ลาออกเมื่อ ก.พ.2563
นอกจากนี้ยังมีอดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ มาร่วมแสดงความยินดี อาทิ นายเจือ ราชสีห์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.สงขลา , นายสุชีน เอ่งฮ้วน ผู้สมัคร ส.ส.กระบี่ , นายถาวร เสนเนียม อดีต รมช.คมนาคม , นายพงศ์ศักดิ์ จ่าแก้ว นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี , น.ส.รัดเกล้า สุวรรณคีรี บุตรสาว นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี รวมถึงกลุ่มเพื่อน ส.ส.ลูกช้าง-ลูกหมี นำโดย นายชุมพล จุลใส อดีต ส.ส.ชุมพร และนายนพพร อุสิทธิ์ นายก อบจ.ชุมพร รวมถึงกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง และชุมพร ทั้งนี้มีรายงานว่าพรรควางเป้าหมายส่งเป็นผู้สมัครชิง ส.ส.เขต ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ
ปัดเป็นพรรคอะไหล่ ‘ประยุทธ์’
ก่อนการประชุม นายพีระพันธุ์ เปิดเผยว่า แนวทางของพรรคต้องการเดินหน้าทำประโยชน์ให้กับประชาชน ไม่เน้นตัวบุคคล โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่มีข่าวว่าพรรคให้การสนับสนุน ถ้าแนวทางการทำงานตรงกับพรรคเราก็ยินดีสนับสนุน ส่วนที่เมื่อ 2 วันก่อนตนได้ไปพบกับนายกฯไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการเมือง แต่เป็นการคุยเรื่องงานที่นายกฯมอบหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่ามองอย่างไรที่สังคมมองว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคอะไหล่ของ พปชร. นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่าใครมอง แต่ตนไม่ได้มองอย่างนั้น เราทำการเมืองไม่ได้ขึ้นตรงกับพรรคอื่น ตนไปยุ่งเกี่ยวเขาไม่ได้ พปชร. และรวมไทยสร้างชาติ ต่างคนต่างทำงาน แต่อาจจะมีเป้าหมายเดียวกันคือเพื่อชาติบ้านเมือง และที่ผ่านมาไม่ได้พูดกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า พปชร. เพราะไม่ได้เกี่ยวข้องกัน
นายพีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า ต้องการทำพรรค ให้เป็นพรรคที่ดีของประชาชน ดูแลชาติบ้านเมืองอย่างเต็มที่ ยืนยันว่าเป็นพรรคการเมืองที่พร้อมจะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะในการเลือกตั้งที่จะมาถึงตลอดเวลา และทุกพรรคก็คงเหมือนกันที่ต้องการจะให้ได้ ส.ส.มากที่สุด ซึ่งเราก็มีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่าจะได้ ส.ส.เขตเข้ามาพอสมควร และเราจะพยายามส่งให้ครบทุกเขต
เมื่อถามว่าจะให้ พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ ตั้งแต่ตนสมัครสมาชิกมายังไม่เห็นข่าวนี้
เมื่อถามว่า จะยังมีสมาชิกจากพรรคอื่นย้ายมาร่วมงานอีกหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า น่าจะมี ส่วนจะมีบิ๊กเนมให้ประชาชนเซอร์ไพรส์หรือไม่ ความจริงอยู่ที่คนมองว่าคนไหนเซอร์ไพรส์หรือไม่เซอร์ไพรส์ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจะมีคนทยอยเข้ามาเป็นสมาชิกเพิ่มเรื่อยๆ ส่วนจะเป็นใครบ้างนั้นก็ต้องรอดู
เมื่อถามอีกว่า เมื่อเป็นหัวหน้าพรรคแล้วก็พร้อมที่จะรับตำแหน่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า หัวหน้าพรรคทุกพรรคก็ต้องมีความพร้อมอยู่แล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าเราพร้อมแล้วเราจะได้ การเป็นนักการเมืองก็ต้องพร้อมรับทำหน้าที่ทุกตำแหน่งไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
ไม่ใช่ ปชป.สาขาสอง ตั้งเป้ากวาด ส.ส.ทั้งภาคใต้
ต่อมา นายพีระพันธุ์ ให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังสิ้นสุดการประชุม โดยตอบคำถามถึงกรณีที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) สาขาสอง ว่า คิดไว้แล้วว่าต้องมีคนถามแบบนี้ แต่ที่ผ่านมามีไม่กี่พรรคการเมืองที่นักการเมืองสังกัดอยู่ และก็จะเห็นว่ากรรมการบริหารพรรคไม่ได้มีแค่ ปชป. แต่มีคนรุ่นใหม่ คนหน้าใหม่ ส่วนคำว่า ปชป.สาขาสองเป็นสิ่งที่สื่อมวลชนพูดกันไปเอง
เมื่อถามถึงกรณีที่มีนักการเมืองท้องถิ่นเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรค โดยเฉพาะ จ.ชุมพร พัทลุง และ สุราษฎร์ธานี จะถือเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะได้ ส.ส.จากตรงนี้หรือไม่ นายพีระพันธุ์ ตอบว่า “ภาคใต้ทั้งภูมิภาคครับ”
เมื่อถามย้ำว่า คาดหมายว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะได้กี่ที่นั่ง นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “เราก็เหมือนกับทุกพรรค ที่คาดหมายว่าจะชนะหมุดทุกเขต”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในอนาคตจะมี ส.ส.ย้ายมาร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติอีกหรือไม่ นายพีระพันธุ์ บอกว่า ยังตอบไม่ได้ แต่เรียนแล้วว่า ทุกคนรู้จักกันมาตั้งนานจะบอกว่าไม่เคยพูดคุยกันก็คงเป็นไปไม่ได้ แม้จะออกจาก ปชป.มานานแล้ว แต่ในทางส่วนตัวก็เป็นมิตรกัน เป็นเพื่อนกัน คบกันที่ใจ อยู่ตรงไหนก็คุยกันได้
เมื่อถามถึงสูตรคำนวณบัญชีรายชื่อระหว่างหาร 100 กับ หาร 500 จะผลกับพรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวย้ำว่า เรื่องนี้มีผลเกี่ยวข้องกับบัญชีรายชื่อเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะหารเท่าไร เขตก็คือเขต เราไม่ได้เน้นแต่บัญชีรายชื่อ แต่เราเน้นทั้ง 2 บัญชี ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ต้องพร้อม เรามีความพร้อมในการส่งผู้สมัคร ส.ส.เขต และเชื่อว่าจะสามารถผ่านการเลือกตั้งได้ แต่บางคนยังเปิดตัวไม่ได้เพราะยังเป็น ส.ส.อยู่
เมื่อถาย้ำว่าขณะนี้มี ส.ส.ที่ตบปากรับคำจะมาอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติแล้วเท่าไร นายพีระพันธุ์ ตอบว่า “ยังไม่อยากบอก เอาเป็นว่าเยอะแล้วกัน”
ผู้สื่อข่าวถามย้ำถึงกระแสว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ถูกตั้งมาเพื่อ พล.อ.ประยุทธ์ นายพีระพันธุ์ ถามกลับทันทีว่า “ใครพูด พรรคนี้ทำเพื่อประชาชน เป้าหมายที่เราตั้งพรรคการเมือง คือทำงานเพื่อประชาชน ไม่ได้สนับสนุนอะไรใคร”
นายพีระพันธุ์ ยังอธิบายที่มาของการตั้งชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า พวกเรามีความคิดและมีแนวทางเดียวกันว่า ทำไมต้องทะเลาะกัน สังคมวันนี้ไม่ต้องการความแตกแยก หลายคนอาจมีวิธีทางแตกต่างกัน แต่เป้าหมายคือทำเพื่อชาติ บ้านเมือง ก็คุยกันได้ ไม่ใช่แค่ว่าต้องเป็นคนที่รู้จัก คนที่เราสนิท แต่ต้องเลือกคนที่ดี มีอุดมการณ์เดียวกันเพื่อบ้านเมือง ก็มารวมกันเพื่อทำให้สังคมดีขึ้น ให้มีความรักความสามัคคีปรองดอง ทำงานแก้ปัญหาประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม สร้างความเสมออภาค ทำให้ประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงโอกาสอย่างเท่าเทียม ทั้งหมดทำให้เราคิดว่าเราต้องมารวมใจกันเพื่อชาติบ้านเมือง นั่นคือ รวมใจสร้างชาติ
นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงนโยบายการแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยว่า ปัญหาเศรษฐกิจวันนี้ ภาพรวมไม่ใช่แค่ปัญหาของประเทศ แต่เป็นปัญหาที่มีผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก เกิดจากความขัดแย้งของยูเครน-รัสเซีย ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจากสถานการณ์โควิด ต่อให้มีทีมเศรษฐกิจกี่ทีมก็แก้ไม่ได้ แต่คนรับเคราะห์กรรมคือชาวบ้าน ที่เดือดร้อนเรื่องทำมาหากิน ดังนั้นสิ่งที่ต้องช่วยกันคือ ช่วยลดภาระพวกเขา ช่วยให้เขาผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ ตนมีความเชื่ออยู่ว่า ทุกวันนี้เราเดินได้ด้วยภาคเอกชน ไม่ใช่ภาครัฐ ภาครัฐมีหน้าที่สนับสนุนผ่อนคลายหลักเกณฑ์ นั่นคือสิ่งที่เราต้องเข้าไปปรับปรุงแก้ไข
“วันนี้ชาวบ้านไม่ได้สนว่า ดอกเตอร์ไหนจะมา หรือ ดอกเตอร์ไหนจะไป แต่พวกเขาต้องการรู้ว่า แนวทางรัฐจะช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไร” นายพีระพันธุ์ กล่าว
เมื่อถามว่าจะต้องมี ส.ส.ในมือเท่าไรถึงจะสามารถขับเคลื่อนนโยบายพรรคได้ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถ้ามีจำนวนพอสมควรที่พอจะเข้าร่วมรัฐบาล ก็สามารถนำแนวทางไปสู่การปฏิบัติได้เป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้นขอให้สื่อช่วยสนับสนุนด้วย