
SCG เปิดงาน ESG Symposium 2022 ‘รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส’ ชวนตระหนักความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่กระทบความเป็นอยู่ ด้านเลขาอาเซียนชี้ภูมิภาคมุ่งหน้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน คาด 10 ปี ใช้ 1.2 แสนล้านบูมเศรษฐกิจสีเขียว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 19 กรกฎาคม 2565 นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCG) กล่าวในงาน ESG Symposium 2022: Achieving ESG and Growing Sustainability ว่า หลังโรคระบาดโควิด-19 มีความรุนแรงและผู้ติดเชื้อลดลงไป หลายๆประเทศหลังจากเผชิญปัญหาโรคระบาดแล้ว ก็เผชิญปัญหาเงินเฟ้อตามมา เศรษฐกิจถดถอย และที่สำคัญการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้เกิดความสูญเสียทางธรรมชาติ ซึ่งเป็ไปในลักษณะวิกฤติซ้อนวิกฤติตามมาแบบนี้อีกเรื่อยๆ
โดยเฉพาะภัยธรรมชาติที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะไม่ใช่ข้ออ้างอีกต่อไป เพราะเราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของปัญหานี้ ดังนั้น ปีที่ผานมาจึงได้เห็นความร่วมมือแบบข้ามอุตสาหกรรม และภาครัฐเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือมากขึ้น แม้จะยังไม่แน่ใจว่า ที่ทำๆกันมานั้นเพียงพอหรือไม่
สำหรับการจัดงาน ESG Symposium ครั้งนี้ จะรวบรวมความร่วมมือ และสัมมนาทั้งในและข้ามอุตสาหกรรม เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการลดใช้คาร์บอน คิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่ และมากไปกว่านั้น น่าจะทำให้เกิดการพูดคุยกันระหว่างคนรุ่นใหม่และคนรุ่นก่อน เพื่อหาแนวทางใหม่ๆ และนำไปสู่การพัฒนาโลกที่ยั่งยืน ซึ่งในท้ายที่สุดนอกจากความร่วมมือแล้ว จะต้องนำไปสู่การลงมือทำจริงๆในท้ายที่สุดต่อไป
“แม้ว่าที่ผ่านมา คนได้เริ่มตื่นตัว ตระหนักถึงปัญหา และลุกขึ้นมาลงมือทำ ทั้งในระดับบุคคล ชุมชน และประเทศ ตลอดจนมีความร่วมมือเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก แต่ก็ยังไม่ทันต่อวิกฤตโลกที่ทวีความรุนแรงและใกล้ตัวมากขึ้น ทั้งสภาพอากาศแปรปรวน ภัยแล้ง น้ำท่วม ทรัพยากรที่เริ่มไม่เพียงพอ เกิดภาวะวิกฤตอาหารและพลังงานขาดแคลนทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตโควิด 19 ที่กลับมาอีกระลอก โรคระบาดใหม่ที่พร้อมก่อตัว รวมถึงเงินเฟ้อ ความยากจนที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้น ขณะที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น 1.1 องศา หากไม่เร่งความร่วมมือแก้ไขจนอุณภูมิโลกร้อนเกินเป้าหมายที่ 1.5 องศา โลกจะเปลี่ยนแปลงจนเราไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้แบบเดิม ถือเป็นวาระเร่งด่วนที่ทุกคน ทุกหน่วยงานต้องเริ่มลงมือแก้ไขด้วยตนเอง เริ่มจากการปรับพฤติกรรมง่ายๆ ใกล้ตัวและขยายไปสู่ความร่วมมือเพื่อแก้ไขให้ทันท่วงที การจัดงาน ESG Symposium 2022 ในครั้งนี้ จึงมีเป้าหมายเพื่อเร่งขยายพลังความร่วมมือให้มากขึ้นและทันต่อวิกฤตโลก ทั้งในบริบทของสิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคมเหลื่อมล้ำ (Social) โดยยึดถือความโปร่งใส (Governance) เป็นพื้นฐานสำคัญในทุกการดำเนินงาน” นายรุ่งโรจน์กล่าว

รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCG
อีก 10 ปีอาเซียนทุ่ม 1.2 แสนล้าน บูมศก.สีเขียว
ด้านนายลิม จก โฮย เลขาธิการสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กล่าวในงานสัมมนาเดียวกันว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนถูกบรรจุในวิสัยทัศน์อาเซียน 2025 เพื่อเน้นย้ำการปกป้องสิ่งแวดล้อม และรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและเทคโนโลยี ซึ่งวิสัยทัศน์อาเซียนจะนำไปสู่การตอบสนองวิสัยทัศน์ของสหประชาชาติใน 4 ประเด็น 1.ความยากจน 2. คมนาคม 3. บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน และ 4.ล้มแล้วก้าวกระโดดได้
นอกจากนี้ อาเซียนมีแผนในการพัฒนา 3 ส่วนคือ 1. เกษตรกรรม 2. พลังงาน และ 3. คมนาคม และกลุ่มอาเซียนเราจะต้องเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซ์คาร์บอนไดออกไซด์ เพราะตอนนี้ในภาคพื้นตะวันตกมีการตระหนักถึงการปล่อยก๊าซดังกล่าวมากขึ้น หากยังผลิตในรูปแบบเดิมๆ อาจจะทำให้ถูกแบนผลิตภัณฑ์บางอย่างได้ ดังนั้น ทิศทางต่อไป คือ การพัฒนาระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะใช้เงินลงทุนสูงมาก มีการคาดการณ์ว่าใน 10 ปีข้างหน้าภูมิภาคอาเซียนจะต้องใช้เงินลงทุนรวมๆแล้วประมาณ 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จึงควรคิดถึงการระดมทุน และธนาคารกลางอาเซียน ก็กำลังหาความร่วมมือทางการเงินกับองค์การอื่นๆ ในอีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนการพัฒนาต่างๆ ก็มุ่งหวังว่า ทางภาคเอกชนจะต้องสนับสนุนการดำเนินการด้วย ซึ่งหากพัฒนาโดยภาคใดภาคหนึ่งเพียงลำพังคงไม่ประสบความสำเร็จ

ลิม จก โฮย เลขาธิการสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
ตกผลึก 10 แนวทาง
ด้านนายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม การพัฒนาอย่างยั่งยืน SCG เปิดเผยว่า จากการระดมสมองของทุกภาคส่วนในงาน ESG Symposium 2022 ได้ข้อสรุป 2 แนวทาง ที่นำไปสู่การขยายผล และการลงมือปฏิบัติได้จริง เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero GHG Emissions) ภายในปี 2065 ดังนี้
1. จัดตั้งกลุ่มความร่วมมือเร่งสร้างนวัตกรรมเพื่อ Net Zero ผ่านรูปแบบของ Industrial and Academic Consortium ครั้งแรกในไทย ที่ระดมความร่วมมือจากภาครัฐ เอกชนจากระดับโลกและระดับประเทศ โดยมีนักวิชาการ ผู้บริหารระดับสูงจากหลากหลายส่วน ทั้งพลังงาน ขนส่ง ไฟฟ้า ปิโตรเคมี ก่อสร้าง อุปโภคบริโภค สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT-Massachusetts Institute of Technology) สมาคมคอนกรีตโลก (GCCA- Global Cement and Concrete Association) สภาอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) เป็นผู้ขับเคลื่อน
ซึ่งความร่วมมือนี้ มีเป้าหมายเพื่อเร่งทำโรดแมปการสร้างนวัตกรรมที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนที่ดีที่สุดมาใช้ในประเทศไทย เช่น เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน (CCUS – Carbon Capture, Utilization and Storage) การเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงจากฟอสซิลเป็นพลังงานทางเลือก (Fuel Switching) พลังงานไฟฟ้า (Electrification) และระบบพลังงานที่ใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิง (Hydrogen Economy) คาดว่าจะมีความชัดเจนปลายปีนี้
2. การผนึกกำลังขยายเครือข่ายความร่วมมือสร้างสังคมคาร์บอนต่ำของภาคเอกชน 60 องค์กร ผ่านความร่วมมือที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ครอบคลุมมิติด้านพลังงานทางเลือก เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการบริโภคอย่างยั่งยืน เช่น กลุ่มเครือข่ายความร่วมมือ 23 องค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (CECI–Circular Economy in Construction Industry) และโครงการความร่วมมือ PPP Plastics (Public Private Partnership for Sustainable Plastic and Waste Management) สร้างต้นแบบการจัดการขยะพลาสติก นำกลับมาสู่กระบวนการรีไซเคิล ขับเคลื่อนโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) และพันธมิตรกว่า 30 องค์กร
โดยจากการระดมสมองของภาคเอกชนในครั้งนี้ ได้นำไปสู่ความร่วมมือกับภาครัฐเดินหน้า 10 แนวทางการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ อาทิ โครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้พลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียน สนับสนุนด้านเงินทุน สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ สำหรับพลังงานสะอาด การจัดระบบการจัดเก็บขยะที่มีประสิทธิภาพ การส่งเสริมวินัยการคัดแยกขยะ ตั้งแต่ครัวเรือน รวมถึงสนับสนุนองค์ความรู้ เทคโนโลยีการพัฒนาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ งาน ESG Symposium 2022 ยังให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยส่งเสริมบทบาทของผู้หญิง และกลุ่มคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ไขวิกฤตต่างๆ ร่วมกัน เนื่องจากผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการดูแล จุนเจือครอบครัว รวมถึงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของชุมชน และประเทศชาติ โดยจัดให้มีการแลกเปลี่ยนมุมมอง สร้างแรงบันดาลใจ ให้ผู้หญิงทุกคนมองเห็นศักยภาพในตนเอง พร้อมพัฒนาทักษะความรู้ ความสามารถในการก้าวผ่านความยากลำบากต่างๆ ในชีวิต มีรายได้ มีอาชีพมั่นคง พึ่งพาตนเองได้ สอดคล้องกับการส่งเสริมบทบาทสตรี ตามวัตถุประสงค์ของการจัดประชุม APEC 2022 Thailand พร้อมชวนสังคมให้เชื่อมั่นในศักยภาพของคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวคิด มีความสามารถที่แตกต่างหลากหลาย เป็นพลังช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ ยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางทั่วอาเซียน เช่น ตัวแทนเยาวชนจากอินโดนีเซีย ที่พัฒนานวัตกรรมม้วนฟิล์มพลังงานแสงอาทิตย์สำหรับคนมีรายได้น้อย หรือตัวแทนเยาวชนไทยที่พัฒนาโปรแกรมแปลภาษามือ เพื่อช่วยให้คนพิการใช้ชีวิตได้สะดวกสบายมากขึ้น
“การแก้วิกฤตโลกถือเป็นวาระเร่งด่วนที่ทุกคน ทุกหน่วยงาน ต้องเริ่มลงมือแก้ไขด้วยตนเอง รวมทั้งผนึกกำลังความร่วมมือให้เกิดผลจริง เชื่อมั่นว่าข้อสรุปความร่วมมือจากเวที ESG Symposium 2022 จะได้นำไปปฏิบัติ ให้เกิดผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม และขยายผลในวงกว้างตามแผนงานต่อไป โดยเอสซีจี ยินดีเป็นตัวกลางประสานกับทุกๆ ฝ่าย ไปพร้อมกับเร่งติดตามความคืบหน้า เพราะปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการขับเคลื่อนคือ โครงการความร่วมมือต่าง ๆ มีความก้าวหน้า และทุกคนในห่วงโซ่คุณค่าได้รับประโยชน์ เพื่อร่วมสร้างเศรษฐกิจสีเขียว ตามแนวทาง BCG และส่งต่อโลกที่ยั่งยืนให้กับลูกหลานต่อไป” นายรุ่งโรจน์ กล่าวสรุป

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม การพัฒนาอย่างยั่งยืน SCG

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา