‘สุรเชษฐ์ ก้าวไกล’ อภิปราย ‘ศักดิ์สยาม’ ปมโปรเจ็กต์ ‘MR-MAP’ ชี้ลงทุนซ้ำซ้อน เปลืองภาษีทั้งๆที่มีหลายโครงการรอคิวอยู่แล้ว ด้าน ‘ศักดิ์สยาม’ เตรียมชี้แจงรวบยอดพรุ่งนี้ (20 ก.ค. 65) ยักไหล่แค่เรื่องเดิมๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ก.ค.2565 สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวม 11 คน ตามที่ ส.ส.ฝ่ายค้านเสนอ ภายใต้ยุทธการณ์ ‘เด็ดหัว สอยนั่งร้าน’ โดยจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 ก.ค.2565
เวลา 18.50 น.นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ต่อกรณีแผนแม่บทการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง (MR-Map) งบประมาณ 5.7 ล้านล้านบาทว่า แผนนี้เป็น 1 ใน 3 แกนหลักสร้างอนาคตไทยของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่ประกอบไปด้วย 1.โครงสร้างพื้นฐาน 2.อุตสาหกรรม และ 3.การธนาคาร
โดยระบุว่า หากดูลงไปในรายละเอียดของโครงการแล้ว จะพบว่าเป็นโครงการที่ไม่มีความคุ้มค่า และมีความไม่ชอบมาพากลหลายประการ ตั้งแต่ลักษณะของโครงการที่เป็นการก่อสร้างทั้งระบบรถไฟทางคู่ 6,241 กม. มอเตอร์เวย์ 6,701 กม. และรถไฟความเร็วสูง 2,728 กม. อยู่บนเส้นทางเดียวกัน ที่จะทำให้เกิดการตัดผู้ใช้กันเอง และจะทำให้การใช้งานเป็นไปโดยไม่เต็มประสิทธิภาพในทุกระบบและทุกเส้นทาง
."การก่อสร้างในลักษณะนี้จะทำให้เกิดความไม่คุ้มทุน กลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่เชื่อมระหว่างเมืองที่มากเกินความจำเป็น นำไปสู่ภาระทางการคลังและงบประมาณที่จะบานปลาย ทั้งระหว่างการก่อสร้างจริง และค่าบริหารจัดการและบำรุงรักษา และยังมีแนวโน้มที่จะเจอกับ 'โรคเลื่อน' เหมือนอย่าง corridor โคราช ที่รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ และทางรถไฟความเร็วสูง ไม่มีอะไรก่อสร้างได้แล้วเสร็จอย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้เลยแม้แต่อย่างเดียว ซึ่งในที่สุด ภาระทั้งหมดนี้ ก็จะไปตกอยู่ที่ประชาชน ทั้งในรูปแบบของเงินภาษี และค่าโดยสารที่จะแพงอย่างมหาศาลเพื่อชดเชยการใช้งานที่ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะการที่ไม่มีเอกชนไหนจะกล้าพอเอาเงินจำนวนมหาศาลมาลงทุนในโครงการที่มีความไม่คุ้มค่าอย่างเห็นได้ชัดขนาดนี้" นายสุรเชษฐ์กล่าว
นายสุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีความไม่ชอบมาพากลในการคัดเลือกโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ที่มีศักยภาพ หรือช่วงที่จะมีการก่อสร้างเป็นลำดับต้นๆ โดยหนึ่งในนั้นมีโครงการมอเตอร์เวย์ ช่วงนครราชสีมา-อุบลราชธานี ซึ่งมีบุรีรัมย์เป็นหนึ่งในจังหวัดที่จะมีการสร้างมอเตอร์เวย์ตัดผ่านด้วย นี่คือโครงการที่จะก่อหนี้มหาศาลต่อไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ช่วงต้นของโครงการจะต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ทั้งค่าเวนคืน งานโยธา งานระบบ แล้วต่อมาก็จะมีรายจ่ายเพิ่มในการบริหารจัดการและซ่อมบำรุงรายปี ที่ในที่สุดจะทำให้รายรับจะไม่พอกับรายจ่าย เพราะคนจะใช้ไม่เยอะ ที่จะให้เอกชนมาร่วมลงทุนก็จะไม่เกิดเพราะเป็นโครงการที่ไม่คุ้มค่า คนที่อนุมัติและผู้รับเหมาที่ได้สัมปทานยิ้ม แต่คนที่เศร้าคือประชาชนผู้ต้องจ่ายภาษี
“หากเป็นพรรคก้าวไกล จะไม่มีทางทำโครงการในลักษณะนี้ แต่จะต้องกระจายโครงการออกไป เลือกพัฒนาระบบอย่างเฉพาะเจาะจงในแต่ละพื้นที่ เน้นพัฒนารถไฟทางคู่ให้คลุมทุกพื้นที่มากขึ้น โดยไม่ทำมอเตอร์เวย์มาวิ่งขนานให้แย่งผู้โดยสารกัน และนำงบประมาณที่เหลือไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเมือง กระจายงบประมาณให้ส่วนท้องถิ่นไปพัฒนา ไม่ใช่การสร้างแต่เส้นเลือดใหญ่ระหว่างเมืองแบบซ้ำซ้อน อย่างที่ MR-Map จะทำเท่านั้น” นายสุรเชษฐ์ทิ้งท้าย
‘ศักดิ์สยาม’แจงทีเดียวพรุ่งนี้ (20 ก.ค.)
ต่อมาเมื่อเวลา 21.00 น. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า วันนี้ยังไม่ได้ตอบคำถามหรือชี้แจงอะไรหลังจากถูกอภิปราย เพราะติดช่วงเวลาของข่าวในพระราชสำนึกเมื่อเวลา 20.00 น. และจะขอชี้แจงในวันที่ 20 ก.ค.นี้ เพื่อให้ประชาชนจะได้รับฟัง และยืนยันว่าในทุกข้อกล่าวหานั้นพร้อมชี้แจงได้ทั้งหมด แต่มีบางเรื่องได้ไปพาดพิงบุคคลภายนอก
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า การอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลตระกูลชิดชอบ เอื้อประโยชน์ในกระทรวงคมนาคม จะชี้แจงอย่างไร นายศักดิ์สยาม หัวเราะในลำคอ และระบุว่า ไม่ว่าอะไร ชี้แจงได้หมด ถ้าเป็นเรื่องเดิมๆ อะไรที่เข้าสู่กระบวนการของศาลไปแล้วต้องเคารพ รอฟังการชี้แจงในวันที่ 20 ก.ค.นี้ดีกว่า
‘ทวี’ อัด ‘ศักดิ์สยาม’ ไม่ซื่อสัตย์ ซุกหุ้นขาดคุณสมบัตินั่งรัฐมนตรี
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.พรรคประชาชาติ อภิปรายไม่ไว้วางใจนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในประเด็นที่เกี่ยวกับคดีเขากระโดงและการถือหุ้นในบริษัทรับเหมา ความว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม น่าจะสิ้นสุดไปแล้ว เพราะมีการซุกหุ้นเอาไว้ โดยก่อนที่จะมารับตำแหน่งในปี 2562 มีหลักฐานว่า นายศักดิ์สยามทำธุรกิจรับเหมาก่อสร้างและทำธุรกิจโรงโม่หินด้วย นั่นคือ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น จดทะเบียนร่วมกับพี่ชายที่เป็นนายตำรวจ และหจก.ศิลาชัยบุรีรมย์ จดทะเบียนร่วมกับพี่ชายอดีตนักการเมือง
โดยในหจก.บุรีเจริญ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ 99.99% ส่วนโรงโม่หิน ก่อนปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโอนหุ้นจำนวน 199 ล้านบาท ให้กับ ‘นายเอ’ ซึ่งเป็นการโอนหุ้นโดยไม่มีค่าตอบแทนและไม่มีหลักฐานการเงินไปแสดงตามระเบียบของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า อีกทั้งไม่พบการชำระเงิน ไม่พบหนี้สินและการเสียภาษีระหว่างกัน ซึ่งตามเกณฑ์โอน 100 ล้านบาท ต้องเสียภาษี 5% และหลังจากโอนหุ้นแล้ว หจก.ดังกล่าวก็อยู่ในที่ที่เป็นบ้านของนายศักดิ์สยามเอง จึงถือว่าเป็นนิติกรรมอำพราง เข้าข้อหา ม.187 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือไม่คงไว้ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทต่อไปตามจำนวนที่กฎหมายบัญญัติ และต้องไม่เป็นลูกจ้างของบุคคลใด
อีกทั้งการเอาบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นมารับงานรัฐ ก็จะผิดตามม.187 ของรัฐธรรมนูญเช่นกัน เมื่อมาเป็นรัฐมนตรีในปี 2562 พบว่า ในช่วงที่กำลังเข้าถึงปี 2565 หจก.ของนายศักดิ์สยาม ได้งานไป 2,218 ล้านบาท ซึ่งไม่มีการแข่งขันเป็นธรรม หรืออาจจะเป็นการฮั้วประมูล และในช่วงปี 2562-2565 งบประมาณจากกระทรวงคมนาคมได้ใส่ลงไปในจ.บุรีรัมย์เพิ่มขึ้นทุกปี อีกทั้งรายได้ของ หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ก็เพิ่มขึ้นทุกปีด้วย ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ หจก.บุรีเจริญฯ สามารถทำรายได้มากขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งคู่แข่งที่เป็นคู่เทียบคือ บจ.บุรีรัมย์พนาสิทธิ์ ซึ่งเข้ามาเป็นคู่เทียบถึง 43 โครงการ
พ.ต.อ.ทวี กล่าวต่อว่า สิ่งที่จะกล่าวหาต่อไปคือ การไม่มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ มีพฤติกรรมฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตตามมตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพรราะเมื่อลงลึกถึงงบประมาณการก่อสร้างถนนในปี 2566 พบว่า จ.บุรีรัมย์ ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุดของประเทศ ขณะที่จ.อุบลราชธานีที่มีประมาณมากกว่า กลับได้งบประมาณน้อยกว่า ซึ่งที่พูดไม่ได้อิจฉา แต่ที่น่าตกใจคือ รัฐมนตรีพูดว่า บุรีรัมย์มีสนามแข่งรถระดับโลก มรสนามกีฬาคุณภาพ และเป็นเมืองท่องเที่ยว ได้งบไปพัฒนาเป็นจำนวนมาก แต่จีดีพีของจังหวัดอยู่แค่ 76,000 บาท/คน ขณะที่จ.ขอนแก่นได้งบน้อยกว่า แต่มีจีดีพีแตะ 100,000 บาท แสดงว่างบพัฒนาจังหวัดไปถึงคนกลุ่มเดียว แต่ไม่ไปถึงประชาชน
ส่วนกรณีที่ดินเขากระโดง ซึ่งศาลพิพากษาแล้วว่าเป็นที่ของ ร.ฟ.ท. เอกชนใดๆเข้ามาทำประโยชน์ไม่ได้ ซึ่งโฉนดที่ดิน 3466 เป็นของ หจก.ศิลาชัยฯ ซึ่ง ป.ป.ช. สั่งให้ผู้ว่า ร.ฟ.ท. ดำเนินเพิกถอน แต่ยังไม่ดำเนินการ ต่อมาที่ดิน 3456 ของหจก.ศิลาชัยฯ เช่นกัน และที่ดิน 3477 , ที่ดิน 8 ซึ่งเป็นพื้นที่ของสนามแข่งรถและสนามกีฬา ล้วนแล้วเป็นคนในครอบครัวรัฐมนตรี จึงเป็นการแสดงให้เห็นท่านไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต และไม่มีจริยธรรม อาจจะสรุปได้ว่า นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งและรัฐมนตรีควรปฏิบัติให้เคร่งครัด โดยสรุปนายศักดิ์สยามไม่มีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี 11 ประการ (ดูภาพ)
รุมซักฟอก'ศักดิ์สยาม'อ้างใช้นอมินีถือหุ้น หจก.บุรีเจริญฯ รับงานรัฐ
เมื่อเวลา 16.13 น.นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ อภิปรายไว้วางใจ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ประเด็นเกี่ยวกับที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ว่า วันที่ 23 มิ.ย.2564 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) มีหนังสือให้กรมที่ดินทำการเพิกถอนโฉนดที่ดินบริเวณดังกล่าว ต่อมา ก.ค.2564 กรมที่ดินมีหนังสือตอบมาว่าการเพิกถอนจะทำได้ต้องมีรูประวางแผนที่ พร้อมกับมีคำถามไปยัง รฟท.ด้วยว่า ที่ดิน 2 แปลง โฉนดที่ดิน 3466 และ 8564 ซึ่งเป็นภูมิลำเนา 30/2 หมู่ที่ 15 ที่นายศักดิ์สยาม แจ้งต่อสภาว่าอยู่บนที่ดินแปลงนี้ คณะกรรมการกฤษฎีเคยวินิจฉัยว่าเป็นที่ รฟท. และ ป.ป.ช.ก็เคยวินิจฉัยว่าให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ์ สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ก็เคยมีคำวินิจฉัยให้ รฟท.ฟ้องเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ซึ่งหนังสือเดือน ก.ค.2564 รฟท.ถามกรมที่ดินว่า ทำไมไม่ฟ้อง
นายกมลศักดิ์ กล่าวว่า รฟท.ได้มีหนังสือส่งรูประวางแผนที่ไปยังกรมที่ดิน 2 ครั้ง 2 รูประวาง แต่ปรากฏว่ามีไม่ครบ แถมรูประวางปี 2531 และ ปี 2539 ไม่ตรงกัน จึงไม่ทราบว่า รฟท.เจตนาส่งเอกสารให้กรมที่ดินไม่ครบหรืออย่างไร ต้องการให้มีการล่าช้าทางแท็กติก เพื่อจะเพิกถอนช้ากว่าปกติหรือไม่
ทั้งนี้ กรมที่ดินมีหนังสือ 12 พ.ย.2564 บอกว่า รูประวางแผนที่ 2 ฉบับ เมื่อไม่ครบเนื้อที่ แต่ขอให้ รฟท.จัดส่งผู้แทนไม่เกิน 6 คนเข้าเป็นคณะทำงาน 2 ชุด คือ 1.คณะทำงานการเข้ารังวัดตรวจสอบแนวเขตที่ดิน 5,083 ไร่ 2.คณะกรรมการอำนวยการร่วมกับกรมที่ดินในการแก้ปัญหาออกหนังสือแสดงสิทธิ์
ทั้งนี้ โฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และ 8564 อัยการบอกให้เพิกถอน แต่ท่านไม่ดำเนินการ จนทุกวันนี้ยังคงใช้ภูมิลำเนาอยู่ที่นั่น และเป็นที่ตั้งของ หจก.อีกหลายบริษัทในบริเวณนี้ ถ้าตรวจสอบที่กรมการค้า กระทรวงพาณิชย์ จะพบว่าบริษัทต่างๆ เกี่ยวข้องกับท่านทั้งนั้น โดยเฉพาะบริษัท ศ. ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดิน 3466 ตั้งอยู่ที่นั้น รวมถึง หจก.บ. จากการตรวจสอบพบว่า บริษัท ศ. บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 4.7 ล้านบาท ส่วน หจก. บ. บริจาค 4.8 ล้านบาท นี่คือความเกี่ยวโยงกันระหว่างรัฐมนตรีกับพวกพ้อง เพราะเช่นนี้หรือไม่ท่านจึงไม่ดำเนินการเพิกถอน
นอกจากนี้อีกคดีที่น่าสนใจคือคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าที่ดินของ ‘นายเอ’ จำเลยในคดีที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาปี 2561 แต่มีข้อสังเกตว่าทำไมไม่มีการบังคับคดี พอไปตรวจสอบข้อมูลยิ่งเห็นชัดว่า ‘นายเอ’ มีความสัมพันธ์กับรัฐมนตรี สะท้อนให้เห็นว่ารัฐมนตรีจึงไม่ดำเนินการใดๆ กับที่ดินแปลงนี้ คดีของ ‘นายเอ’ ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา ตั้งแต่ปี 2561 รัฐมนตรีมารับตำแหน่งปี 2562 จนถึงปีนี้ 2565 เพิ่งจะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเมื่อเดือน มิ.ย.2565 ก่อนการอภิปรายจึงเหมือนแค่ขยับให้เห็น
“นายเอ สมัยปี 2561 ก่อนที่นายศักดิ์สยามจะมาเป็นรัฐมนตรี เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของ หจก. บ. ใช้ที่อยู่ที่เดียวกันกับรัฐมนตรีในปัจจุบัน ปรากฏว่าวันที่ 26 ม.ค.2561 รัฐมนตรีถอนหุ้น ก่อนโอนหุ้นทั้งหมด 119 ล้านบาท ให้กับ นายเอ และให้ นายเอเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ปัจจุบัน หจก.นี้ก็ยังอยู่ที่นี่ แสดงให้เห็นว่ารัฐมนตรีกับจำเลยในคดีที่ รฟท.เป็นพวกเดียวกัน นอกจากนี้ นายเอ ยังบริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 2.7 ล้านบาท และ หจก. บ. โอนหุ้นไปให้ บริจาคเงินให้พรรคท่านอีก 4.8 ล้านบาท มาถือว่าเป็นพวกเดียวกันจะให้เข้าใจว่าอย่างไร อีกทั้งตามบัญชีงบดุลปี 2560 บริษัท ศ. ได้ยืมเงินจากนายเอ 120 ล้านบาท ปี 2561 ยืมอีก 221 ล้านบาท ต่อมาปี 2562 บริษัท ศ. ยังกู้ยืมเงินจากนายเอ 143 ล้านบาท ปี 2563 ยืมอีก 152 ล้านบาท ผมไม่ได้พูดลอย ๆแต่มีเอกสารงบดุลของบริษัท ศ.” นายกมลศักดิ์ กล่าว
ต่อมา นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายในประเด็นเดียวกัน โดยกล่าวหาว่า นายศักดิ์สยาม ยืมชื่อนอมินีมาถือครองหุ้นกิจการแทนตัวเอง ทำทีว่าขาดจากกิจการไปแล้วเพื่อเป็นรัฐมนตรี แต่ความจริงคือเป็นรัฐมนตรีไปพร้อมๆกับเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งทำธุรกิจเข้าประมูลงานกับกระทรวงที่นายศักดิ์สยามดำรงตำแหน่ง ถือเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวว่า เมื่อปี 2558-2561 นายศักดิ์สยามถือหุ้นใน หจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น เกือบ 100% จากนั้นมีการถอนหุ้นและกลับมาถือหุ้น กระทั่งปี 2561 โอนหุ้นั้งหมดอีกครั้ง คำถามคือขายกิจการจริงหรือไม่ หรือแค่เปลี่ยนชื่อ ปรากฏว่า ‘นายเอ’ มารับช่วงต่อ แต่ไม่ปรากฏหลักฐานการจ่ายเงินแต่อย่างใด ซึ่งนาย ‘นายเอ’ เป็นผู้ถือหุ้น 4 แห่ง โดย 3 แห่งมีสถานะร้าง และเหลือเพียงแห่งเดียวที่ยังดำเนินกิจการอยู่ ซึ่งมีที่ตั้งเดียวกับ หจก.บุรีเจริญฯ แต่บริษัทนี้ไม่มีรายได้มาแล้วอย่างน้อย 3 ปีติดต่อกัน
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวอีกว่า ยิ่งสืบยิ่งพบเหตุการณ์แปลกที่บ่งชี้ว่า นายเอ เป็นเพียงนอมินีของคนในอาณาจักรชิดชอบ เพราะเป็นลูกจ้างรับเงินเดือน 9,000 บาทจาก บจก.ศิลาชัย บรีรัมย์ (1991) เป็นบริษัทในเครือญาติของนายศักดิ์สยาม ที่แปลกคือ นายเอ เป็นลูกจ้างและเป็นเจ้าหนี้ บจก.ศิลาชัย โดยให้กู้เงิน 250 ล้านบาท แบบไม่คิดดอกเบี้ยและไม่ทำสัญญา นอกจากนั้นบริษัทยังระบุว่าขาดสภาพคล่อง ซึ่งน่าจะมาจากการนำเงินไปซื้อเครื่องบินรุ่นเดียวกับที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล มีไว้ในครอบครอง ราคา 12 ล้านบาท ที่ตนได้ยินแว่วว่า เครื่องบินลำนี้อยู่แถวจังหวัดบุรีรัมย์
“ปี 2560 บริษัทศิลาชัย เอาเงินไปซื้อเครื่องบินรุ่นเดียวกับท่านอนุทิน ใช้เงิน 12 ล้านบาทถูกระบุในความเห็นผู้สอบบัญชีว่า กิจการได้ซื้อเครื่องบินส่วนบุคคล 1 เครื่องเป็นเงินสด ราคาที่ซื้อ เป็นราคาที่ไม่ผ่านระบบภาษีใดๆ มีการทำสัญญาซื้อขาย ผู้ขายเป็นบุคคลธรรมดา ผู้ซื้อเป็นนิติบุคคล ไม่มีเอกสารของทางราชการเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ใดๆ ส่วนเครื่องบินจะเก็บรักษาไว้ที่ใด มีความเป้นมาอย่างไร ไม่ทราบ ผู้สอบบัญชีไม่รู้ว่าอยู่ไหน แต่ผมได้ยินมาว่ามีคนเห็นเครื่องบินลำนี้ที่สนามบินบุรีรัมย์อยู่บ่อยๆ ไม่แน่ใจว่าท่านัรฐมนตรีเคยขึ้นเครื่องบินลำนี้หรือไม่” นายปกรณ์วุฒิ กล่าว
ส.ส.ก้าวไกล กล่าวด้วยว่า บจก.ศิลาชัย ยังให้นายศักดิ์สยามกู้เงิน 88 ล้านบาทแบบไม่คิดดอกเบี้ย และปี 2562 แม้มีการคืนเงินกู้บางส่วน แต่บริษัทยังเป็นหนี้นายเอ 143 ล้านบาท ปรากฏว่าบริษัทควัก 4.7 ล้านบาทบริจาคให้พรรคภูมิใจไทย นอกจากนั้น นายเอ ยังควักให้พรรคอีก 2.7 ล้านบาท และเอาเงินของบริษัทไปบริจาคเพิ่มอีก 4.8 ล้านบาท ถือเป็นความซับซ้อนเกินกว่าจะเป็นความจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งชี้ว่า นายเอ มีพฤติกรรมเป็นเพียงนอมินีให้นายศักดิ์สยาม ยืมชื่อทำธุรกรรมทางบัญชีในกงสีของตัวเอง
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวทิ้งท้ายว่า ช่วงนายศักดิ์สยามเป็น รมว.คมนาคม หจก.บุรีเจริญฯ ได้งานจากกระทรวงเป็นพันล้าน และมีหลายอย่างที่ผิดปกติ เฉพาะปี 2563 เฉพาะการเซ็นสัญญาระหว่างเดือน เม.ย. - พ.ค. เพียง 3 เดือนเท่านั้น ได้งานจากแขวงทางหลวงชนบท มีมูลค่า 260 ล้านบาท และราคาชนะประมูลก็ห่างจากราคากลางเฉลี่ย 0.13% ซ้ำ บริษัทคู่เทียบมีเพียงบริษัทเดียว ซึ่งเป็นบริษัทที่บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 5 ล้านบาทในเดือน ม.ค. 2562 แบบนี้ให้ใครดูเขาก็ว่าฮั้วกันทั้งนั้น
'ศุภชัย'แจงแทน'อนุทิน'ยันไร้ประโยชน์ทับซ้อนธุรกิจกัญชง
เมื่อเวลา 14.45 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ชี้แจงกรณีถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นเกี่ยวกับนโยบายกัญชาเสรี ว่า นโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์นั้น ได้เดินหน้ามาอย่างรอบคอบ ไม่ขัดหรือแย้งกับอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งอนุญาตให้นำกัญชา มาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ที่สำคัญ ในฐานะที่ประเทศไทย มีประวัติศาสตร์การใช้กัญชารักษาโรคมายาวนาน จึงต้องมั่นใจในภูมิปัญญาของเรา กัญชาอยู่ในตำรับยา ตำรับยาหลวง และวิถีชีวิตของคนไทยมาช้านาน ก่อนจะถูกตีตราเป็นยาเสพติด
นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า รัฐบาลไม่สนับสนุนการใช้กัญชาในทางสันทนาการ ในร่างกฎหมายที่กำลังพิจารณาอยู่นี้ ไม่มีการใช้เพื่อสันทนาการ แต่ในร่างกฎหมายที่พรรคก้าวไกลเสนอมา มีเรื่องนี้อยู่ มีการอนุญาตให้ใช้ทางสันทนาการ แต่เขียนไว้ว่าจะควบคุมกำหนดโซนนิ่งอย่างไร ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เราไม่เคยสนับสนุนเพื่อการสันทนาการแต่อย่างใด
“การนำกัญชาไปใช้ในทางที่ผิด ไม่มีทางเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ และมั่นใจว่าไม่มีรัฐบาลชุดไหนจะไปทำเช่นนั้น” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ศึกษาวิจัยการใช้กัญชาทางการแพทย์ มาตั้งแต่ปี 2561 และ กรมการแพทย์ ได้จัดอบรมการใช้กัญชาทางการแพทย์ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 ก่อนที่จะมาเป็น รมว.สาธารณสุข นโยบายนี้ เป็นประโยชน์ต่อการรักษาโรคของประชาชน และ ลดการนำเข้ายาเคมีจากต่างประเทศได้ ส่วนที่มีความกังวลกันมาเรื่องควบคุมการใช้กัญชา หลายประเด็น ดังนี้
ด้านการควบคุมการเข้าถึงของเยาวชนและกลุ่มเปราะบาง ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง สมุนไพรควบคุม (กัญชา) พ.ศ. 2565 โดยกำกับให้ผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ไม่สามารถครอบครองกัญชา รวมถึงห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์ หรือให้นมบุตร
ด้านการควบคุมการใช้ผิดวัตถุประสงค์ก่อให้เกิดกลิ่น และควันกัญชา ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กําหนดให้การกระทำให้เกิด กลิ่น หรือควันกัญชา กัญชง หรือพืชอื่นใด เป็นเหตุรําคาญ พ.ศ. 2565 และคณะกรรมการสาธารณสุข ได้ออกคำแนะนําของคณะกรรมการสาธารณสุข เรื่อง แนวทางการควบคุมเหตุรําคาญจากการกระทำให้เกิดกลิ่น หรือ ควันกัญชา กัญชง หรือพืชอื่นใด พ.ศ. 2565
ด้านการควบคุมการใช้ในอาหารปรุงสำเร็จ ได้ออกประกาศกรมอนามัย เรื่อง การนําใบกัญชามาใช้ ในการทำ ประกอบ หรือปรุงอาหาร ในสถานประกอบกิจการอาหาร พ.ศ.2565 และประกาศกรม อนามัย เรื่อง การนําใบกัญชามาใช้ในการทำ ประกอบ หรือปรุงอาหาร ในสถานประกอบกิจการ อาหาร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2565
ซึ่งเป็นการกำกับให้ผู้ประกอบการร้านอาหารต้องจัดเก็บใบกัญชาอย่างถูกสุขลักษณะ ดำเนินการตามประกาศในการจำกัดสัดส่วนการใช้ใบกัญชาประกอบอาหาร และต้องติดประกาศแจ้งให้ลูกค้าทราบว่ามีการใช้ใบกัญชาในการประกอบอาหาร รวมถึงแจกแจงรายละเอียดพร้อมคำแนะนำ และคำเตือนตามประกาศด้วย
นอกจากนี้ ยังมีประกาศกระทรวงสาธารณสุขเมื่อปีก่อน เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย ซึ่งมีรายละเอียดระบุให้ช่อดอก กัญชาและกัญชง เป็นสิ่งที่ไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค และห้ามใช้ส่วนของพืชดังกล่าวในอาหารอีกด้วย กฎหมายเหล่านี้มีโทษทางอาญา ตั้งแต่ปรับ ถึงจำคุก
นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า เรามั่นใจว่าเราควบคุมการใช้กัญชาอย่างไม่ถูกวิธีได้ เราประกาศให้กัญชาไม่เป็นยาเสพติดอีกต่อไป ก็ต้องไม่มองกัญชาคือยาเสพติด เราต้องมองว่า มันคือพืชที่มีคุณประโยชน์ในด้านอื่นๆ พืชที่สามารถ สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ ผลิตเป็นสินค้า ทำให้เกิดโอกาสแก่ประชาชนมากมาย ถ้าเราหยุดทุกอย่าง ถามว่าจะมีอะไรเดือดร้อนหรือไม่ ถ้าไม่มีกัญชาเป็นยารักษาโรค คนปกติไม่เดือดร้อน แต่ถ้าคนไข้ที่ใช้ยารักษามานานแล้ว คนไข้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง หยอดน้ำมันกัญชาไปเขาสามารถรับประทานอาหารได้ อย่างน้อยก็ใช้ช่วงระยะเวลาสุดท้ายของชีวิตให้มีความสุข คิดดูแล้วเราต้องควบคุมให้ได้มากที่สุด ไม่ให้มีการใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง
นายอนุทิน กล่าวต่อด้วยว่า ในญัตติอภิรายไม่ไว้วางใจ มี 3 เรื่อง มีอีกเรื่องคือจริยธรรมทางการเมือง จะขออนุญาตไปชี้แจงนอกสภา เพราะใช้เวลามามากแล้ว เพราะผู้อภิปรายส่วนใหญ่ พูดเรื่องการบริหารสถานการณ์โควิดและการใช้นโยบายกัญชาทางการแพทย์ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมก็จะนำไปแถลงในที่สาธารณะเพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจและคลายความกังวลต่อไป ขอยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเจตนาที่ดีของรัฐบาล เป็นความตั้งใจของตนที่ต้องการทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภายใต้สถานการณ์โควิดที่กำลังจะผ่านพ้นไปด้วยดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการชี้แจงของนายอนุทินนั้น ยังไม่ได้มีการกล่าวถึงประเด็นที่นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม ที่ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีคนในตระกูลชาญวีรกูลถือหุ้นในบริษัท STPI ที่มีการแจ้งเปลี่ยนธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์จากธุรกิจเหล็กเป็นการทำธุรกิจกัญชง พร้อมตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับประโยชน์ทับซ้อน แม้ว่านายอนุทิน จะไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวแล้วก็ตาม
ทั้งนี้ ต่อมา ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในประเด็นเกี่ยวกับนโยบายกัญชา
ซึ่ง นายศุภชัย กล่าวในตอนท้ายด้วยว่า อีกประเด็นกรณีมีการอภิปรายว่านายอนุทินมีผลประโยชน์ทับซ้อนในธุรกิจกัญชานั้น ในฐานะที่ท่านเป็นรัฐมนตรี ท่านได้ให้ บลจ.เกียรตินาคินภัทร เป็นผู้บริหารทรัพย์สินแทน ส่วน บลจ.เกียรตินาคินภัทร จะไปถือหุ้นที่ไหนก็เป็นเรื่องของ บลจ.เกียรตินาคินภัทร ส่วนที่ระบุว่ามีหุ้น 100% ในบริษัทแคนนาธอรี่ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีวัตถุประสงค์การทำกัญชงจริง แต่เนื่องจากเห็นว่าการปลูกกัญชงในพื้นที่จังหวัดชลบุรีไม่เหมาะสม จึงได้ยกเลิกการทำธุรกิจมาตั้งแต่ 2560 ดังนั้นต่อให้มีการหาผลประโยชน์ก็ไม่เกี่ยวกับนายอนุทิน และไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ ซึ่งเรื่องนี้นายอนุทินไม่ได้ชี้แจง แต่ตนกังวลว่าจะมีข้อสงสัยจึงขอชี้แจงแทน
'สุทิน'ไม่ไว้วางใจกัญชาเสรี สงสัย'อนุทิน'ประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่
เมื่อเวลา 11.25 น. นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงความล้มเหลวของนโยบายกัญชา โดยเริ่มต้นด้วยการเปิดคลิปวิดีโอ อ้างคำปราศรัยของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีแ ละ รมว.สาธารณสุข ที่ประกาศปลดล็อกกัญชา ให้กัญชาสร้างเสียงหัวเราะ กัญชาเป็นยาพารวย กัญชาเป็นยารักษาโรค ให้ประชาชนปลูกได้บ้านละ 6 ต้น เมื่อปลูกแล้วก็สามารถนำไปขาย นำไปผสมอาหารได้ นำไปเป็นเครื่องปรุงอาหารได้ นำไปรักษาโรคได้ นำไปป้องกันโรคได้ แล้วนำมาสูบกันเองก็ยังได้ แต่อย่าเดินออกนอกบ้าน อย่าพกพาไปที่อื่นเป็นอันขาด
นายสุทิน กล่าวว่า ขอใช้สิทธิ์กล่าวหา นายอนุทิน และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เนื่องจากร่วมกันกำหนดนโยบายให้มีกัญชาเสรี นำมาซึ่งเกิดการละเมิดกติกาโลก และกฎหมายประเทศ รวมถึงรัฐธรรมนูญ และมติรัฐสภาไทย นอกจากนั้นยังละเลยละเว้นไม่ออกมาตรการควบคุมกัญชาในสิ่งที่ควรจะมี และควรจะเป็น นำมาซึ่งความเสียหายต่อประเทศชาติ
ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านเกือบเดือน มีผู้ปกครองเด็กเป็นห่วงลูกหลานบอกว่า ส.ส.สุทิน พูดหน่อยว่ามันไม่คุ้มนะ ให้ปลูกคนละเท่านั้นเท่านี้ต้น ลูกหลานพวกเราไม่ตายหมดหรือ รวมถึงครูบาอาจารย์ ถามว่าปล่อยได้อย่างไร เพราะเด็กวันนี้พี้กัญชากลางห้องเรียนแล้ว ไม่นับรวมหมอ แพทย์แผนไทย นักกฎหมาย รวถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์การสหประชาชาติ ระดับประธานองค์กรปราบปรามยาเสพติดระหว่างประเทศก็เดินทางมาพบตนที่ไทย เพื่อคุยเรื่องนี้ หากกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดก็จะผิดไปทุกเม็ด นายกรัฐมนตรีเองก็ปฏิเสธไม่ได้ นโยบายนี้เป็นเงื่อนไขเข้าร่วมรัฐบาล นายกรัฐมนตรีจึงจำยอมเป็นนโยบายของรัฐบาลต่อมา
นายสุทิน กล่าวย้ำว่า รัฐบาลปลดล็อกกัญชา แต่ไม่ควบคุม บอกให้ชาวบ้านใช้ปรุงอาหาร แต่ถามว่าชาวบ้านทราบหรือไม่ว่าปริมาณ THC เท่าไรถึงไม่เป็นอันตราย นายอนุทินอาจจะชี้แจงว่าเรากำลังจะออกกฎหมายควบคุม ซึ่งตนได้ติดตามไปที่ชั้นคณะกรรมาธิการที่กำลังพิจารณาร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวแล้ว พบว่าแม้ออกกฎหมายก็ยังให้เสพได้เสรีเหมือนเดิม เข้าใจว่าห้ามเสพในที่สาธารณะ แต่แสดงว่าให้เสพที่บ้าน ที่คอนโดฯได้ใช่หรือไม่ ทุกวันนี้เด็กก็เสพกัญชามาจากบ้านไปถึงโรงเรียนก็นอน เรียนไม่รู้เรื่อง
นายสุทิน กล่าวอีกว่า ดังนั้นเรื่องของกัญชา มีปัญหาทั้งเรี่องสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคมก็เละ เมื่อถามว่าหวังอะไร ก็ต้องทำใจแข็งมากที่จะพูดต่อหน้าคนที่เคารพกัน ท่านมีประโยชน์ทับซ้อนถึงทำแบบนี้ ประโยชน์ข้อแรกคือ ประโยชน์ทางการเมือง ท่านต้องทำเพื่อให้ได้คะแนนเสียง และผลประโยชน์ต่อมา บอกว่ามีนักการเมืองใหญ่ไปทำไร่กัญชาที่ประเทศเพื่อนบ้านเป็นหมื่นเป็นแสนไร่
“ผมข้ามไปประเทศนั้น เขาเห็นเป็นนักการเมืองก็ถามกันแล้วว่าจะมาดูไร่กัญชาใช่หรือไม่ ก็ลือกันหมดว่านักการเมืองใหญ่ไปทำไร่กัญชาที่ลาว แล้วบริษัทยักษ์ใหญ่วันนี้ก็ทำไว้หมด วางระบบธุรกิจไว้หมด หลังวันที่ 9 มิ.ย.2565 ปลดล็อกปั๊บ ดอกกัญชาวางขายในร้านสะดวกซื้อ นี่วางแผนไว้ก่อนหรือไม่ถึงทำอย่างนั้น มีคนกระซิบบอกว่า มีบริษัทยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นแอบมาตกลงกับนักการเมืองไทยเรื่องนี้” นายสุทิน กล่าว
นายสุทิน กล่าวต่อด้วยว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วมีข่าวในสื่อมวลชนเสนอว่า เครือบริษัทซิโน-ไท ลุยธุรกิจกัญชงเต็มที่ จึงเข้าไปดูว่าใช่หรือไม่ ก็ไปพบว่าไม่ใช่ข่าวโคมลอย เป็นการแจ้งเปลี่ยนแปลงธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัท STPI ต่อไปนี้ หลังจากทำธุรกิจเหล็ก ก็จะมาทำธุรกิจกัญชงแล้ว เมื่อปี 2564 นี่เอง ใครถือหุ้นเป็นครอบครัวชาญวีรกูลถือหุ้นเยอะ ส่วนนายอนุทินไม่เกี่ยว เพราะตอนรับตำแหน่งก็แสดงทรัพย์สินแล้ว โอนออกไปหมดแล้ว โอนไปที่เกียรตินาคินภัทร ปรากฎว่าก็ไปถือหุ้นใน STPI ทำธุรกิจกัญชง แล้วถามว่าท่านรัฐมนตรีของเราไปครอบงำหรือไปบริหารสั่งการหรือไม่ ก็คงไม่หรอก เพราะไม่มีชื่อแล้ว แต่สำคัญที่สุดคือ เกียรตินาคินภัทรต้องได้รับประโยชน์จากผลปันหุ้น ได้กำไรมา เกียรตินาคินภัทรก็ได้ แล้วจะตกถึงท่านหรือไม่ ถ้าถึงท่านก็แปลว่าผลประโยชน์ทับซ้อน ถ้าไม่ถึงก็ไม่ใช่ นี่สังคมเขาถามมา เรื่องทั้งหมดที่ว่ามานี้ นายกรัฐมนตรีอยู่ไหน ถ้านายกรัฐมนตรีไม่อนุญาต ไม่เห็นด้วย ไม่ให้ทำ เรื่องนี้ไม่สำเร็จ จะมาโทษนายอนุทินอย่างเดียวไม่ได้ ท่านทั้งสองคนต้องรับด้วยกัน
“ผมและพรรคเพื่อไทยไม่ได้คัดค้านกัญชา แต่มีทางที่จะทำได้โดยไม่มีผลกระทบหรือไม่ ไม่จำเป็นต้องปลดออกจากบัญชียาเสพติด แต่ขออนุญาตยูเอ็นทดลองทางการแพทย์ แล้วตั้งองค์กรเข้ามาควบคุม แต่วันนี้สายเสียแล้ว เพราะเจตนาเป็นอย่างอื่นมากกว่า ผมจึงไม่ไว้วางใจ ถ้าท่านอยู่ต่อไป กัญชาน่าจะเตลิดไปมากกว่านี้ แค่นี้ก็อยู่กันอย่างขนหัวลุกแล้ว ไม่ไว้วางใจท่าน และมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่ต้องตอบชาวบ้าน ตอบพวกผม” นายสุทิน กล่าว
‘วาโย’ อัด ‘อนุทิน’ จงใจสร้างสุญญากาศคุมกัญชา
ขณะที่นายวาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.ก้าวไกล พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจนายอนุทิน ระบุว่า ข้อเท็จจริงนั้นกัญชาไม่ใช่ยาครอบจักรวาล มีทั้งประโยชน์และโทษ หากนำมาใช้นันทนาการ ต้องระวังโทษ เช่นเดียวกับบุหรี่และเหล้า ซึ่งพรรคแถลงจุดยืนว่าสนับสนุนกัญชาทางการแพทย์ และไม่ได้คัดค้านเชิงนันทนาการ แต่ต้องควบคุมอย่างถูกต้องและเหมาะสม ดูแลสุขภาพทั้งคนที่สูบและไม่ได้สูบ
นายวาโย กล่าวด้วยว่า ก่อนที่ นายอนุทิน เข้าดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2562 ไทยปลดล็อกทางกัญชาแพทย์ไปแล้วตั้งแต่ 18 ก.พ.2562 และมาหลุดจากการเป็นยาเสพติด 9 ก.พ.2565 และมีผลปลดล้อก 9 มิ.ย.2565 ก่อนที่จะมีประกาศกระทรวงสาธารณสุข วันที่ 16 มิ.ย.2565 ทำให้เป็นสมุนไพรควบคุม ทำให้เกิดปัญหาสุญญากาศระหว่างวันที่ 9-16 มิ.ย.2565 ประกาศและคำสั่งที่เกิดขึ้น เป็นเพียงการแก้เก้อเพราะใช้ไม่ได้จริง เช่น การประกาศให้เป็นเหตุรำคาญ เจ้าหน้าที่จะมีอำนาจเพียงออกคำสั่งเป็นหนังสือส่งไปให้ผู้สูบกัญชา ไม่สามารถเดินไปห้ามการสูบได้ทันที เป็นต้น
นายวาโย กล่าวอีกว่า ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ถูกส่งเข้าสภาฯ เมื่อวันที่ 26 ม.ค.2565 ได้บรรจุเข้าวาระวันที่ 8 มิ.ย. ก่อนปลดล็อกกัญชาวันที่ 9 มิ.ย.2565 จึงตั้งข้อสังเกตว่า รมว.สาธารณสุข จงใจทำให้เกิดช่องว่าง เหตุใดไม่ออกประกาศเพื่อเลื่อนการปลดล็อกกัญชา เพื่อรอร่างกฎหมายให้มีผลบังคับใช้ เนื่องจากเด็กและเยาวชนเขาไม่สามารถรับรู้และเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง
เมื่อเวลา 11.10 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ชี้แจงภายหลัง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายเปิดญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า ในฐานะผู้นำฝ่ายบริหาร รู้สึกยินดีที่ได้พบกันในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ที่มีชื่อว่าสัปปายะสภาสถาน มีความหมายว่า สถานที่ประกอบกรรมดี ในประวัติศาสตร์ชาติไทย ยามใดบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย พระมหากษัตริย์จะทรงสร้างสถานที่เพื่อปลุกขวัญกำลังใจไพร่ฟ้าประชาชน หลอมรวมจิตวิญญาณทุกดวงให้เป็นหนึ่งเดียว ร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคให้ประเทศชาติอยู่รอดปลอดภัย บ้านเมืองมีสุข สงบสันติ ตราบจนถึงวันนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีอีกครั้ง มีโอกาสได้พบกันในห้วงเวลาสำคัญของชาติ ช่วยกันขบคิด ถกแถลงทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เพราะเป็นการทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ส่วนที่อยู่ข้างนอกไม่รู้ฝ่ายไหนเหมือนกัน ที่ไปลงคะแนน ลงมติข้างนอก ก็ไม่เคยได้ยิน ไม่อยู่ในระบบบริหารราชการแผ่นดิน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้มีปัญหามากมาย ฝ่ายค้านตั้งโจทย์เยอะแยะ แต่ยังไม่ได้ฟังรัฐบาลว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง ฟังไม่ครบ ฟังไม่หมด หรือฟังโดยใช้อวัยวะข้างเดียว ไม่ได้ฟังสองข้าง ท่านพูดมา ตนก็พูดบ้าง ต้องละทิ้งอคติ ผลประโยชน์ส่วนตัวไว้ข้างหลัง ยึดประโยชน์ชาติเป็นที่ตั้ง ถ้ามีความรัก ความสามัคคีกัน ปัญหาที่พูดมาก็แก้ไขได้หมดด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกันมีการพูดถึง 608 คุณต้องให้เกียรติกลุ่ม 608 ด้วย เพราะเป็นประชาชนที่สูงอายุ ต้องให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสุขภาพ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาได้รับการชื่นชม ยกย่องให้เป็นแบบอย่างหลายเรื่อง โดยเฉพาะโควิดที่เราเปิดประเทศช่วงเวลานี้ได้มากขึ้น รายได้มากขึ้น ระบบเศรษฐกิจดีขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่กล่าวมาเมื่อสักครู่คือเรื่องวิสัยทัศน์และการเป็นผู้นำประเทศ มีการกล่าวว่า ตนไม่ได้รับเกียรติในเวทีต่างประเทศ เดี๋ยวรองนายกรัฐมนตรีจะชี้แจงอีกที ว่าไปที่ไหนมาอย่างไร การตอบรับเป็นอย่างไร และไม่คิดว่าด้อยค่าไปกว่านายกรัฐมนตรีบางท่านที่ไปมาแล้ว
“10 กว่าปีมาแล้ว ผมไม่ใช่ตัวทำให้เกิดความขัดแย้ง ย้อนกลับไปดูพฤติกรรม ย้อนไปดูความผิด ย้อนไปดูคนติดคุก แม้เราจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่าง แต่เราต้องทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย ผมไม่ใช่คนที่ต้องการให้มีการแบ่งพวกแบ่งฝ่าย ท่านก็รู้พฤติกรรมดีว่าเกิดอะไรขึ้นในไทย ท่านบอกว่าผมใช้กฎหมายละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นกฎหมายทั่วไปใช่ไหม เป็นกฎหมายปกติใช่หรือไม่ แต่หลายคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวย้ำว่า เมื่อเข้ามาบริหารประเทศมี 3 เรื่องที่ต้องการเดินหน้าพลิกโฉมประเทศ คือ ประกาศวิสัยทัศน์ประเทศ คือ มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ผลักดันยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ นี่คือวิสัยทัศน์และได้นำเสนอมาแล้วเป็นระยะ แต่ด้วยอะไรสักอย่าง ก็คงไม่ได้ยิน ถ้ามองด้วยหัวใจก็จะสัมผัสได้ เห็นได้ในชีวิตประจำวัน
“ท่านบอกว่า ผมพูดถึง 2 ปีอยากอยู่ต่อ ขอให้ไปดูว่าหมายความว่าอะไร ผมพูดว่าอีก 2 ปีจะผลิดอกออกผลออกมา ผมไม่ได้บอกว่าขออยู่ 2 ปี คุณเอาทุกเรื่องมาตีหมดอย่างนี้ไม่ได้ วันนี้ผมพูดถึงสัปปายะสภาสถานไปแล้ว ขอให้ช่วยกันปฏิบัติภารกิจหลักการ 3 ดี คือ หลักการดี ข้อมูลดี น้ำใจดี ทุกอย่างก็จะราบรื่น ผมไม่อาจกล่าวอ้างว่าผมทำดีที่สุด เก่งที่สุด ไม่เคยพูดแบบนั้น ท่านตีความไปเอง หลายอย่างที่พูดมา ไม่ใช่ข้อเท็จจริง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึง นพ.ชลน่าน ว่า “ท่านเป็นบุคลากรทางการแพทย์อยู่แล้ว ฉลาดกว่าผมอยู่แล้ว โชคดีที่ผมไม่ได้ไปรักษาอะไรจากท่าน เพราะท่านบอกว่าผมมีอาการพิการทางสมอง ก็โชคดีเพราะถ้าผมเป็น ก็คงรักษากับท่านไม่ได้”
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อด้วยว่า มีการพูดถึงการใช้กลไกทหาร ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯมาทำงาน ถ้าจำเป็นก็ต้องใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯออกสมัยใครเป็นนายกรัฐมนตรี เอามาใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ ถ้าไม่ละเมิดคนอื่นก็ใช้ได้ ใช้กลไกสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ใช้กลไกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) ก็มีรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอยู่ทั้งหมด คุณบริหารไม่เป็นเอง คุณไม่ใช้ทหาร เพราะไม่ไว้ใจทหาร ถ้าทุกวันนี้ไม่มีตำรวจ ทหารมาคอยดูแล เราจะมานั่งกันแบบนี้ได้หรือไม่
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า สรุปแล้วที่ฝ่ายค้านพูดมาไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด และไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง จึงจำเป็นต้องพูดตรงนี้ ท่านพูดว่า ทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่อง ก็จำเป็นต้องชี้แจง ขอให้บรรยากาศเรียบร้อย ท่านแรงมา ก็พยายามจะแรงน้อยกว่าหน่อย เพราะรู้อยู่แล้วว่าต้องการให้โมโห
“ถ้าอยากได้รับเกียรติจากคนอื่น ก็ต้องรู้จักให้เกียรติคนอื่นเขา ถ้าโจมตีให้ร้าย พูดจาส่อเสียด ดูแล้วไม่ใช่สุภาพบุรุษผมไม่อยากฟังในสภานี้ แต่ผมให้เกียรติสภา ให้เกียรติท่านประธานและท่านสมาชิกทุกคน ผมทราบดีว่าท่านคงชื่นชมหลายคนที่ทำงานมาก่อนว่าดีกว่าผม ไม่เป็นไรครับ ก็เอากลับมาให้ได้ก็แล้วกัน ขอบคุณครับ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
'ชลน่าน'ซัดรัฐบาล 608 บริหารจนพัง-ปาฏิหาริย์รอบนี้มีใครบางคนถูกสอย
เมื่อเวลา 09.45 น. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เริ่มอ่านญัตติไม่ไว้วางใจ พร้อมกับอภิปรายเพิ่มเติม ว่า ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม รวมถึงพวกพ้องกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า สร้างความเดือดร้อนเสียหายให้กับประชาชน สัปดาห์ที่ผ่านมาออกรายการโทรทัศน์ เปลี่ยนการแต่งตัว เปลี่ยนบุคลิก แสดงวิสัยทัศน์ บอกจะใช้ 3 แกนพัฒนาประเทศ คือ โครงสร้างพื้นฐาน อุตสาหกรรม และธนาคาร แต่เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญดังขึ้นหลังจากนั้น มั่นใจว่าเป็นทางลบอย่างมากมาย เพราะท่านซ่อนคำพูดไว้ประโยคเดียวคือ ต้องการขอเวลาอยู่ต่ออย่างน้อย 2 ปี
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สำหรับยุทธการเด็ดหัว สอยนั่งร้าน ที่ฝ่ายค้านได้ 45 ชั่วโมง จะบอกถึงความผิดพลาด ล้มเหลว โดยเฉพาะการเป็นผู้นำแห่งความพินาศ ล้มเหลว ไร้ความชอบธรรม ไร้ความสามารถ ขาดวิสัยทัศน์ บุคลิกภาพมีปัญหา หากเปรียบ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นสินค้าแบรนด์หนึ่ง หลังฟังอภิปรายแล้ว เชื่อมั่นว่าประชาชน 99% จะไม่ใช่สินค้าแบรนด์นี้อีกต่อไป
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ บังคับเนติบริกรออกแบบรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับในฉบับเดียว คือ บทเฉพาะกาล บริหารประเทศด้วย มาตรา 44 เป็นความสมบูรณ์การบริหารประเทศแบบเผด็จการ มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ทั้งบริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ นอกจากนั้นยัง ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตั้งแต่ 26 มี.ค.2563 จนถึงปัจจุบัน หมายความว่าเกือบ 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ ใช้กฎหมายที่มีลักษณะเอื้อต่อระบบเผด็จการบริหารประเทศชาติบ้านเมือง มีส่วนสำคัญทำให้เศรษฐกิจพังพินาศล้มเหลว คนจนทั้งแผ่นดิน ตอนนี้ไทยเป็นประเทศที่ป่วย เสมือนเป็น รัฐบาลกลุ่ม 608 ทั้งแก่ ไร้ความรู้ความสามารถ ทนต่อการเปลี่ยนแปลงไม่ได้
นพ.ชลน่าน กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น ระบบรัฐสภายังถูกทำลายย่อยยับ เป็นระบบรัฐสภาสถาปนาคำว่าสภากล้วย ใช้เงิน ใช้กล้วยแลกเสียงโหวตทุกครั้งในการลงมติที่สำคัญ ตัวเลขอยู่ที่หลักล้าน ทำลายระบอบปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ให้ย่ำแย่ในสายตาและเข้ามาเสวยสุขในอำนาจอย่างนั้นหรือ นอกจากนั้นยังมีเป็นความผิดร้ายแรงเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครอง ครอบงำ ชี้นำ พรรคการเมืองที่สมยอม ซึ่งเป็นไปได้อย่างไร เราแก้ไขรัฐธรรมนูญ (รธน.) เปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง จากบัตรใบเดียวจัดสรรปันส่วนผสม เป็นระบบคู่ขนาน คิดคะแนนเสียงข้างมากตามแต่ละบัตร คืนวันสุดท้ายยังเป็นสูตรคำนวณบัญชีรายชื่อหาร 100 อยู่ มีการต่อรองกันอย่างมากมาย พอเช้าขึ้นมามีการพิจารณา สั่งการจากทำเนียบรัฐบาล เอา 500 ตนเข้าใจสิ่งที่ต้องทำเพราะเป็นความประสงค์ทำลายพรรคการเมืองคู่แข่ง ทำลายคนๆ เดียว ทำลายพรรคการเมืองที่คิดว่าเป็นของคนๆ นั้น จับหนูตัวเดียวเผาบ้านตัวเอง พังพินาศหมด ท่านสั่งการให้มีการหาร 500 เหตุผลสำคัญคือเป็นไปตามคำร้องขอของ ส.ส.ในสภาแห่งนี้ ซึ่งมีอำนาจมาก บีบคอได้จนท่านยอม แม้จะขัดใจกับพี่ใหญ่
“เป็นไปได้อย่างไร รธน.ที่เราแก้ไข เราสร้างแม่เป็นวัว ลูกออกมาเป็นควาย มันเป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้จะต่อสู้ถึงที่สุดว่าขัด รธน. ท่านจะทำตามอำเภอใจไม่ได้ และยังเชื่อมั่นในศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พรรคร่วมรัฐบาล และ ส.ส.ที่มาจากประชาชน นี่คือความผิดพลาดล้มเหลวทางการเมือง” นพ.ชลน่าน กล่าว
นพ.ชลน่าน กล่าวด้วยว่า นับตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่ มีคำหนึ่งไม่เคยหลุดจากปาก พล.อ.ประยุทธ์ แม้ รธน.บังคับให้พูดก็ยังไม่พูด คือ จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่ง รธน.ทุกประการ เหตุที่ไม่พูด เพราะจงใจจะไม่ปฏิบัติตาม รธน.ใช่หรือไม่ ทั้งหมดคือความพินาศทางการเมือง ที่จะมีการขยายรายละเอียดให้ฟัง ความพังพินาศล้มเหลวทั้งหมดที่เกิดขึ้น พรรคร่วมฝ่ายค้านจะชี้แจงเหตุผลต่อสภา บอกกล่าวกับประชาชน เพื่อผลสุดท้ายมาช่วยกันเด็ดหัว สอยนั่งร้าน หวังลึกๆว่า มติสภานี้จะสร้างปาฏิหาริย์ ให้แตกต่างจากระบบเสียงข้างมากในอดีต ที่ฝ่ายเสียงข้างมากรอสัญญาณจากผู้นำ ลงคะแนนไปตามนั้น หนำซ้ำยังเรียกไปสั่งการให้โหวตเหมือนกัน ครอบงำทุกอย่าง เรื่องนี้ถึงศาลแน่ ทั้งนี้จะมีปาฏิหาริย์ จะมีใครบางคนถูกสอย นั่งร้านจะถูกสอย แม้ไม่ถูกสอย ก็จะถูกเปิดโปงทุจริตคอร์รัปชันด้วย
“เสียงในสภาไม่ชนะสภาประชาชนแน่นอน ผมเชื่อมั่น อำนาจอธิปไตยคืออำนาจปกครองสูงสุดเป็นของปวงชนชาวไทย โดยเฉพาะคนดูถูกอำนาจประชาชน จะถูกสั่งสอนในสนามเลือกตั้ง ท่านไม่ตายในสภา ใส่รถฉุกเฉินไปโรงพยาบาล รักษาชีวิตได้ แต่ท่านตายในสนามเลือกตั้งแน่นอน” นพ.ชลน่าน กล่าว
วันแรกฝ่ายค้านปักหมุดซักฟอก 6 รัฐมนตรีรวม'อนุทิน-จุรินทร์'
สำหรับนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้มีทั้งหมด 11 คน โดยมีการจัดลำดับการอภิปรายเบื้องต้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้
วันแรก คือ 1.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข 2. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม 3.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน 4.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ 5.นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 6.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)
ส่วนที่เหลือที่จะถูกจัดลำดับในวันถัดไป คือ 7.นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย 8.นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง จากนั้นฝ่ายค้านจะเริ่มอภิปราย ‘3 ป.’ ประกอบด้วย 9.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี 10.พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ 11.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตามลำดับ