นักวิจัยลุยเซียนา เผยค้นพบการระบาดของโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยตัวใหม่ BE.1 และ BF.1 หลังเหตุระบาดระลอกล่าสุดในรัฐลุยเซียนา รับเป็นธรรมชาติของไวรัส แต่ต้องจับตาที่มา,ความสามารถของไวรัสต่อไป
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในต่างประเทศว่านักวิจัยจากห้องปฏิบัติการการแพทย์ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพมหาวิทยาลัยแห่งรัฐลุยเซียนานิวออร์ลีนส์ ได้ออกมารายงานข่าวว่าพวกเขาค้นพบไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนที่มีศักยภาพในการแพร่เชื้อสูงมาก
“เท่าที่เรารู้ตอนนี้ โอไมครอนสายพันธุ์ย่อยเหล่านี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการระบาดในสหรัฐอเมริกามาก่อนจนถงบัดนี้” นพ.ลูซิโอ มิเอเล ผู้อํานวยการร่วมของห้องปฏิบัติการและหัวหน้าฝ่ายพันธุศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยกล่าวและกล่าวต่อไปว่าข้อมูลโดยมากเกี่ยวกับรายงานทางคลินิกและสาธารณสุขเกี่ยวกับโอไมครอนสายพันธุ์ย่อยทั้งสองสายพันธุ์ดังกล่านั้นยังคงไม่เป็นที่รับทราบแต่ประการใด
ทางห้องปฏิบัติการณ์ได้กล่าวว่าพวกเขาได้ระบุตัวตนของสายพันธุ์ย่อยโอไมครอนที่พบในรัฐลุยเซียนาซึ่งเป็นเหตุทำให้เกิดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ว่าเป็นโอไมครอนสายพันธุ์ย่อย BE.1 และ BF.1 โดยทางห้องปฏิบัติการณ์นั้นได้มีความร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุขของรัฐลุยเซียนา และบริษัท BIE ซึ่งเป็นบริษัทชีวสารสนเทศศาสตร์ทางโรคติดเชื้อ ดำเนินการเก็บตัวอย่างผู้ติดโควิดและตรวจสอบลำดับพันธุกรรมเพื่อตรวจสอบว่าโควิดสายพันธุ์ใดกันแน่ที่ระบาดในรัฐลุยเซียนา
“รูปแบบการแพร่เชื้อจากที่เราได้มานั้นมีลักษณะก็คือว่าเมื่อมีโควิดสายพันธุ์ที่โดดเด่นขึ้นมาเช่นเดลต้าหรือว่าโอไมครอน หลังจากนั้นความหลากหลายทางพันธุกรรมของไวรัสสายพันธุ์ดังกล่าวจะลดลงชั่วในการเก็บข้อมูลและหลังจากนั้นก็จะเกิดสายพันธุ์ย่อยที่มาจากสายพันธุ์หลักเข้ามาแทนที่ในสัดส่วนของการระบาด” นพ.มิเอเลกล่าว
นพ.มิเอเลกล่าวต่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือสายพันธุ์ย่อยทั้งสองสายพันธุ์ดังกล่าวนั้นต้องได้รับการติดตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวนั้นมีการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และก็ต้องมีการกำหนดด้วยว่าไวรัสสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวที่เพิ่งค้นพบนั้นมีความแตกต่างอย่างไรบ้าง ซึ่งข้อมูลที่ว่านี้ถือว่าสำคัญในการจะเข้าใจความสามารถในการแพร่เชื้อหรือว่าความสามารถในการต้านทานการรักฐาของไวรัส
นพ.มิเอเลกล่าวว่าตามธรรมชาติของไวรัส SARS-CoV-2 ที่มีการเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆนั้นก็จะมีความสามารถในการแพร่เชื้อและหลบภูมิคุ้มกันได้มากขึ้นตามไปด้วย โดยโอไมครอนที่แพร่เชื้อได้ง่ายกว่าเดลต้า และโอไมครอน BA.4 และ BA.5 นั้นดูเหมือนว่าจะมีความสามารถในการแพร่เชื้อกับผู้ติดเชื้อสายพันธุ์หลักและสายพันธุ์ย่อยของโอไมครอนก่อนหน้านี แต่อย่างไรก็ตามบางคนนั้นก็ยังมีความต้านทานทางแอนติบอดีหรือสารภูมิคุ้มกันที่จะลดความรุนแรงจากการติดโควิด-19 ไปได้
“เราจะตรวจสอบสายพันธุ์ย่อยที่ว่านี้และเปรียบเทียบกับศูนย์ข้อมูลอื่นๆเพื่อจะตรวจสอบว่าไวรัสนี้เริ่มจากไหนกันแน่ และไวรัสนี้มีการแพร่กระจายมากขึ้นหรือไม่” นพ.มิเอเลกล่าว
เรียบเรียงจาก:https://www.ksla.com/2022/07/05/lsu-healths-new-orleans-lab-says-it-has-discovered-two-new-omicron-subvariants/