ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเข็น ร่างพ.ร.บ.ตำรวจผ่านแล้วด้วยคะแนน 344 เสียง ฝ่าเสียงค้าน ‘พรรคก้าวไกล-กรรมาธิการฯ’ ดาหน้าแย้งปมแก้ ม.169/1 หน้างานโดยไม่ถอนร่างไปแก้ใหม่ เสี่ยงเกิดตั๋วช้างรอบ 2 และสร้างบรรทัดฐานใหม่ในกระบวนการนิติบัญญัติ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 5 กรกฎาคม 2565 ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่การประชุม มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ... วาระที่สอง โดยเป็นการพิจารณา มาตรา 169/1 ต่อจากเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา
พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานคณะกมธ. ชี้แจงว่า สืบเนื่องพล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผบ.ตร. ในฐานะกมธ. ได้เสนอเพิ่มข้อความใหม่ โดยมีเนื้อที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลา เพื่อทำให้การคัดเลือกและแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่อยู่ระหว่างการดำเนินการในปัจจุบันให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งสมาชิกในที่ประชุมได้ทักท้วงว่า กระบวนการตรากฎหมายอาจไม่ถูกต้องและผิดข้อบังคับ จนต้องสั่งพักการประชุมไปเมื่อคราวที่แล้ว เพื่อให้ทางคณะกมธ.ได้นำกลับไปทบทวนและหารือ บัดนี้ ทางคณะกมธ. มีมติเห็นว่าควรแก้ไขมาตรา 169/1 ใหม่ตามที่พล.ต.อ.ปิยะ เสนอไว้
แก้ ม.169/1 ทำวุ่น ‘ก้าวไกล-ส.ว.’ เถียงกันนัว
ทำให้ นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ท้วงติงว่า การเสนอใหม่ครั้งนี้ฝ่าฝืนข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ข้อที่ 96 อาจทำให้กระบวนการตรากฎหมายคลาดเคลื่อน เพราะข้อบังคับดังกล่าวให้แก้ไขเฉพาะสิ่งที่คณะกมธ. รายงานมา ข้อบังคับที่ระบุตอนท้ายว่า ‘เว้นแต่ที่ประชุมจะลงมติเป็นอย่างอื่น’ นั้น คณะกมธ.จะไปตีความว่ายกเว้นได้ทุกเรื่องนั้น ถือเป็นการตีความเกินควรของกฎหมาย นอกจากนี้ ยังไม่นับรวมกับที่มีข่าวออกว่าการตรากฎหมายเที่ยวนี้ทำเพื่อใครบางคน
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะรองประธานคณะกมธ. กล่าวว่า การดำเนินการครั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะกมธ.วิสามัญ อาศัยข้อบังคับการประชุมร่วมรัฐสภา ข้อที่ 75 วรรคสอง ซึ่งระบุชัดเจนว่า กมธ.มีสิทธิ์แถลงชี้แจง หรือแก้ไขเพิ่มเติมที่คณะกมธ.พิจารณาแล้วเสร็จ แล้วเสนอต่อที่ประชุมได้ ดังนั้นการพิจารณามาตรา 169/1 คณะกมธ.จึงสามารถแก้ไขได้ตามมติเสียงส่วนใหญ่ของคณะกมธ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสมชายลุกขึ้นชี้แจงได้พาดพิงนายธีรัจชัยว่า มโนข้อบังคับ เพราะทางคณะกมธ.ไม่ได้อาศัยข้อบังคับข้อที่ 96 แต่ใช้ข้อที่ 75 ต่างหาก ทำให้นายธีรัจชัยไม่ยอมและลุกขึ้นประท้วงขอให้นายสมชายถอนคำพูด แต่นายสมชายยืนยันไม่ถอน ถ้าจะให้ถอนก็ต่อเมื่อนายธีรัจชัยยอมถอนคำพูดที่ว่าการออกกฎหมายครั้งนี้เอื้อประโยชน์ใครบางคน พร้อมกับชี้นิ้วมายังนายธีรัจชัย ทำให้เจ้าตัวประท้วงบอกว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่สุภาพ นายสมชายจึงตอบโต้ว่า ‘ผมไม่กลัวอะไรท่านหรอก อย่ามาขอข้อมูลเลย แอบขอข้อมูลอยู่เรื่อย ผมเป็นผู้ใหญ่ไม่รบกับเด็ก’
ต่อมานายชวน วินิจฉัยว่ากระบวนการที่ผ่านมาไม่ผิด เมื่อสภาฯอนุญาตให้คณะกมธ.กลับไปทบทวน และเมื่อมีมติกมธ.กลับมา ก็สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม นายธีรัจชัยได้พยายามประท้วงต่อนายชวนต่อเนื่อง ว่าทำหน้าที่ไม่เป็นกลาง พยายามปิดปากคนที่ไม่เห็นด้วย ทำให้นายชวน ตอบกลับว่า ‘ผมให้ท่านพูดมากที่สุด และเห็นว่าเรื่องนี้จบแล้ว คำวินิจฉัยของประธานถือเป็นที่สุด’
กังขาแก้ ม.169/1 เอื้อใคร? ผิดกระบวนการ
จากนั้น เข้าสู่การอภิปรายมาตรา 169/1 โดย นายอดิศร เพียงเกษ กมธ. อภิปรายว่า ก่อนที่จะถึงช่วงของการแต่งตั้งโยกย้าย ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ต้องรู้ร้อนรู้หนาวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้วว่าร่างกฎหมายตำรวจจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แล้วจะมาชักร่างกฎหมายเข้าออกแบบนี้ให้เปลืองค่าประชุม กมธ.ทำไม การแก้ไขกฎหมาย เพราะไม่ต้องการให้เกิดตั๋วที่ใหญ่กว่าม้า และเราต้องการให้เกิดการแต่งตั้งที่มีความยุติธรรม เมื่อ 169/1 ไม่มีตำหนิ แล้วจะมาแก้ไขทำไม ตนถามว่าสภาแห่งนี้เป็นเครื่องมือของใครหรือไม่ จะถอนไปเพราะคนใดคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง ก็จะไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ
นายสาธิต วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับร่างกฎหมายนี้ มีคนเสียประโยชน์ แต่จะมีคนได้ประโยชน์ด้วย ต้องพูดให้หมด อะไรคือความจริงระหว่างบรรทัด ถ้าเรายอมให้กมธ.แก้ไขรายงานที่พิจารณาเสร็จแล้ว โดยไม่ยอมถอนร่างกลับไปแก้ไข จะกลายเป็นบรรทัดฐานนิติบัญญัติ ตนเป็นห่วงทั้งความไม่ปกติของข้อเสนอ และเป็นห่วงกระบวนการนิติบัญญัติที่เกิดขึ้น ถ้าเราเดินไปตามปกติ เรื่องนี้ก็ไม่เกิดขึ้นว่าจะคง 169/1 หรือตัด 169/1 ทิ้ง เพื่อไม่เป็นการโยนความรับผิดชอบให้รัฐสภา เพื่อไม่ให้กระบวนการนิติบัญญัติต้องด่างพร้อย
‘โรม’ เตือน ม.169/1 เสี่ยงตั๋วช้างรอบใหม่
ด้าน นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า มาตรา 169/1 ต้องบอกว่าเป็นมาตราที่เดิมจะต้องอ่านคู่กับมาตรา 69 ซึ่งมาตรา 169/1 สาระสำคัญคือ การเขียนล็อกเอาไว้เลยว่าตำแหน่งต่างๆนั้นจะต้องเป็นกี่ปี โดยวางกรอบระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับแต่พ.ร.บ.นี้ประกาศใช้ ประเด็นสำคัญคือกมธ.ฯ รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทราบอยู่แล้วว่ากฎเกณฑ์ในการโยกย้ายตำแหน่ง คุณสมบัติการดำรงตำแหน่งต่างๆนั้น มีลักษณะประมาณใด ท่านรู้อยู่แล้วว่ากฎเกณฑ์กำลังจะเปลี่ยนไป
แต่สิ่งที่กมธ.ฯทำคือทำโผตำรวจ ในลักษณะที่ต่างกัน โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้น ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหา เราพิจารณากฎหมายฉบับนี้ได้ด้วยดี หลายเรื่องตนและพรรคก้าวไกล ไม่เห็นด้วยเลย แต่ก็ดีใจอยู่บ้างที่ในมาตรา 69 สุดท้ายมีการกำหนดปีเอาไว้อย่างชัดเจน อย่างน้อยที่สุดอาจจะป้องกัน คนที่จะได้รับประเภทตั๋วช้างเข้ามาดำรงตำแหน่งข้ามหัวคนอื่นได้
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณามาถึงตรงนี้อยู่ๆก็เสนอกัน ซึ่งการเสนอแบบนี้ ตนคิดว่าเป็นการเสนอที่ผิด ถ้าเรายืนยันว่าทำกันแบบนี้ได้ ต่อไปนี้กฎหมายทุกฉบับก็เปลี่ยนกันหน้างานได้ ทั้งที่ในความเป็นจริง มาตรา 169/1 เราควรตัดทิ้งด้วยซ้ำไป เพราะมาตรา 69 ล็อกไว้อย่างชัดเจนว่าปีของการดำรงตำแหน่งต้องเป็นเท่าไหร่ เช่น คนที่จะขึ้นเป็นรองผบ.ตร.จะต้องเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.มาแล้ว 1 ปี คนที่จะขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ตร. จะต้องเป็นผู้บัญชาการ มาแล้ว 1 ปี อันนี้คือสิ่งที่เขียนล็อกเอาไว้ ซึ่งจะแตกต่างจากกฎ ก.ตร.เดิม ในลักษณะที่สามารถยกเว้นได้ ถึงแม้เนื้อหาสาระจะเขียนเหมือนกัน แต่กฎ ก.ตร.สามารถยกเว้นหลักเกณฑ์ตรงนี้ได้ และสิ่งที่แตกต่างจากเดิมคือคนที่ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.และรองผบ.ตร.จะต้องมีอาวุโส 100 เปอร์เซนต์ หมายความว่าตำแหน่งว่างเท่าไหร่ก็คัดจากคนที่อาวุโสเท่านั้น ซึ่งจะไม่มีกรณีข้ามหัวคนอื่นเกิดขึ้น
“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีปัญหามาโดยตลอด และนำไปสู่การมีตั๋วช้างและตั๋วตำรวจต่างๆมากมาย ผมได้อภิปรายไปแล้วว่ามีตำรวจ 2 พันกว่าคน ที่ได้รับตั๋วและบางส่วนได้รับตั๋วช้าง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนไม่กี่คนที่ถูกข้ามหัว แต่ทำให้ความเชื่อต่อระบบคุณธรรมของวงการตำรวจพังทลายลง และวิธีการแบบนี้ไม่ได้กระทบกับตำรวจที่อยู่ในตำแหน่ง แต่กระทบกับครอบครัวของเขา ซึ่งอาจจะเกี่ยวพันกับคนนับล้าน
วันนี้ เชื่อว่าคนที่นั่งอยู่ในแห่งนี้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เรากำลังจะอนุมัติให้เกิดตั๋วช้างอีกรอบ ท่านกมธ. โดยเฉพาะท่านที่มาจาก สตช.ท่านรู้ดีว่ากำลังช่วยใคร สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ ไม่ใช่แค่การวางตัวคนที่จะไปเป็นรองผบ.ตร.เท่านั้น แต่ผมได้ยินมาว่าลำดับท้ายๆ กำลังจะได้รับสิทธิในการข้ามหัวคนอื่น ขึ้นมาเป็นรองผบ.ตร. แล้วปีถัดไปก็จะเป็น ผบ.ตร.และเหตุผลที่กมธ.ฯต้องขอ 180 วันในการชะลอกฎหมายที่กำลังจะผ่านสภาฯออกไปก็เพื่อที่จะได้วางไข่ วางทายาทอสูร ตั้งแต่รองผบ.ตร.ไปจนถึงตำรวจระดับชั้นที่น้อยที่สุด ซึ่งก็คือช่วงเดือนเมษายน
มากไปกว่านั้นท่านอ้างถึงการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมที่เขาอาจจะได้กลับมา เอาคนที่เสียหายจากการตัดสินใจของท่านมาเป็นเงื่อนไข ในการที่จะให้ตั๋วตำรวจกับแค่บางคน ซึ่งความจริงแค่ใช้กฎ ก.ตร.กับมาตรา 170 ก็ช่วยตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เนื้อหาแบบที่กมธ.เพิ่งเสนอปรับแก้ใหม่เลย พูดกันตรงๆ พูดด้วยความจริงท่านก็แค่ใช้โอกาสนี้ช่วยตำรวจบางคนเท่านั้น นี่คือสิ่งที่สภาฯกำลังยอมให้เกิดระบบตั๋วเกิดขึ้นในวงการตำรวจ เป็นระบบที่ใช้ไม่ได้ ดังนั้นเราต้องหยุดยั้งระบบแบบนี้ จะปล่อยให้ตั๋วช้าง ตั๋วม้า ตั๋วแมว ตั๋วนก ตั๋วต่อ ตั๋วโต้ง ตั๋วอะไรก็แล้วแต่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปไม่ได้” นายรังสิมันต์ กล่าว
สับแหลก แก้เอื้อตั๋วช้างขึ้น รองผบ.ตร.
พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ระหว่างที่คณะกมธ.พิจารณาร่างพ.ร.บ.นี้ ทางตำรวจได้ทำข้อท้วงติงมาหลายเรื่อง แต่ตนไม่เห็นด้วย และเห็นว่าเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตำรวจทั้งประเทศกำลังจับตามองบุคคลเจ้าประจำ ที่ได้ตั๋วช้างช่วยมาตลอด เช่น ผู้บัญชาการสอบสวนกลางคนปัจจุบัน และผู้ช่วยผบ.ตร.คนหนึ่งในขณะนี้ ซึ่งเขาจะครบเกณฑ์หนึ่งปีที่สามารถเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นได้
พ.ต.ต.ชวลิต กล่าวต่อว่า การขึ้นตำแหน่งรองผบ.ตร. และผู้ช่วยผบ.ตร. ถ้าเทียบเกณฑ์เก่ากับกฎหมายใหม่จะเหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ถ้าไปดูในมาตรา 74 จะเห็นว่าการเลื่อนต้องเป็นไปตามเรียงคิว ตามหลักอาวุโส 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสองคนข้างต้นกล่าวถึง ขณะนี้อยู่ในลำดับอาวุโสท้ายแถว เพราะเขาใช้ตั๋วช้างยกเว้นหลักเกณฑ์มาหลายรอบ ถ้าบังคับใช้กฎหมายใหม่ในรอบนี้ สองคนจะไม่ได้เลื่อนขึ้นแน่นอน แต่ถ้าเลื่อนออกไปอีก 180 วัน ตามที่คณะกมธ.แก้ไข สองคนดังกล่าวจะสามารถเลื่อนขึ้นได้
ดังนั้น ถ้าที่ประชุมรัฐสภามีมติผ่านเรื่องนี้ ผู้ช่วยผบ.ตร.ตั๋วช้างคนดังกล่าว ปีนี้จะได้เป็นรองผบ.ตร. และในปีหน้าก็จะสามารถขึ้นเป็นผบ.ตร.ได้ ถามว่าเขาจะเป็นผู้นำองค์กรที่ตำรวจทั้งประเทศยอมรับได้อย่างไร จึงขอเสนอให้สมาชิกลงมติไม่เห็นด้วยกับที่กมธ.ขอแก้ไขในมาตรา 169/1
ผ่าน 344 เสียง
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะรองประธานกมธ. ชี้แจงว่า ตนไม่มีญาติเป็นตำรวจ ดังนั้น การที่บอกว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่นคนได้ตั๋วช้าง ตั๋วม้า ตั๋วแมว หรือตั๋วอะไร ตนไม่ได้สนใจอะไร เพราะมีทั้งคนได้และคนเสียพอกัน แต่สภาต้องออกกฎหมายแล้วต้องใช้ได้ อย่างไรก็ตาม มีตำรวจมาขอร้องว่าเกิดปัญหาตำรวจสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ย้ายกลับลำบากถ้ากฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ทันที ดังนั้น สภาฯจะใจจืดใจดำไม่ให้หรือ เพียงแค่ 180 วัน
จากนั้นเวลา 12.55 น. ที่ประชุมลงมติ ผลปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย 344 ต่อ 181 งดออกเสียง 50 ไม่ออกเสียง 1 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมเห็นด้วยกับคณะกมธ. เพิ่มข้อความขึ้นใหม่ ในมาตรา 169/1