'อังกฤษ' เผยผลวิจัยพบวัคซีนโดสสี่ผ่านไป 14 วันกระตุ้นภูมิได้สูงกว่าโดสสามมาก ชี้โมเดอร์นาครึ่งโดสสามารถกระตุ้มภูมิได้สองเท่า ขณะไฟเซอร์เต็มโดสกระตุ้นภูมิได้ 1.6 เท่า ผู้เชี่ยวชาญชี้ควรเร่งฉีดเหตุโอไมครอนเป็นภัยร้ายแรง
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัสว่าที่สหราชอาณาจักรมีการเปิดเผยผลการทดลองว่าการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ในโดสที่สี่นั้นสามารถจะกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สูงสุดกว่าภูมิคุ้มกันที่เคยได้รับในโดสที่สามได้
โดยการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ในโดสที่สองหรือที่เรียกกันว่าการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดในโดสที่สี่นั้น กำลังมีกระบวนการฉีดให้กับผู้สูงอายุซึ่งมีอายุมากกว่า 75 ปีที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชรา และฉีดให้กับผู้มีอายุมากกว่า 12 ปีที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันบกพร่อง
นักวิจัยกล่าวด้วยว่าตอนนี้ผลวิจัยได้ค้นพบแล้วว่าการฉีดวัคซีนในโดสสี่นั้นสามารถช่วยในแง่ของการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่เริ่มจะหายไปหลังจากการฉีดวัคซีนในโดสที่สามได้
“เราได้สาธิตให้เห็นแล้วว่าการฉีดวัคซีนในโดสที่สี่นั้นสามารถกระตุ้นภูมิได้อย่างมาก ทั้งจากแอนติบอดี (สารภูมิคุ้มกัน) และภูมิคุ้มกันของเซลล์ ถ้าหากว่าคุณได้รับวัคซีนโดสสี่ที่ว่านั้นเป็นระยะเวลานานกว่าสามเดือนหลังจากที่มีการฉีดวัคซีนโดสสามแล้ว” นพ.ซอล เฟาสท์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทางการแพทย์ NIHR Southampton และยังเป็นผู้นำการวิจัยกล่าว
อนึ่ง ผลการทดลองที่ถูกเผยแพร่ลงบนวารสารทางการแพทย์ Lancet นั้นเป็นทดลองในกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 166 คน เพื่อจะตรวจสอบภูมิคุ้มกันหลังจากการฉีดวัคซีนบูสเตอร์ โดยทั้งหมดนั้นจะได้รับวัคซีนสองโดสแล้วเป็นวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์สองโดสหรือไม่ก็วัคซีนจากบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าสองโดสมาก่อนแล้ว ตามมาด้วยวัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์เป็นโดสที่สาม
โดยครึ่งหนึ่งในกลุ่มทดลองนั้นได้รับวัคซีนไฟเซอร์เต็มโดสเป็นโดสที่สี่ และที่เหลือจะได้รับวัคซีนของบริษัทโมเดอร์นาจำนวนครึ่งโดส ซึ่งผลการทดลองไม่พบว่ามีผลข้างเคียงอันรุนแรงจากวัคซีนแต่ประการใด
ทีมวิเคราะห์ได้วิเคราะห์ข้อมูลจากผู้เข้าร่วมจำนวน 133 คน พบว่า 14 วันหลังจากการได้รับวัคซีนโดสที่สี่พบการเพิ่มขึ้นของแอนติบอดีอยู่ที่มากกว่า 1.6 เท่า ในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์เต็มโดส และมากกว่าสองเท่าในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนของบริษัทโมเดอร์นาครึ่งโดส เปรียบเทียบกับระดับแอนติบอดีสูงสุด เมื่อเวลาผ่านไป 28 วัน หลังจากได้รับวัคซีนในโดสที่สาม
นอกจากนี้ยังเห็นการเพิ่มขึ้นภูมิคุ้มกันในกลุ่มประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 70 ปี และการเพิ่มขึ้นของจำนวนทีเซลล์ในระยะเวลาหลังจากฉีดวัคซีนในโดสที่สี่เป็นแล้วเป็นเวลา 14 วันด้วยเช่นกัน
ส่วนาทงด้านของ นพ.แดนนี่ อัลท์มันน์ นักภูมิคุ้มกันวิทยาที่วิทยาลัยอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอนกล่าวว่าไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้นยังคงเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง ส่งผลทำให้การศึกษาที่ว่ามานั้นแสดงให้เห็นถึงคุณค่าที่เพิ่มมากขึ้นของการฉีดวัคซีนในโดสที่สี่
“เพราะประสิทธิภาพในวัคซีนรุ่นแรกของเรานั้นเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว และทำให้การป้องกันในทุกวันนี้มีช่องที่ไวรัสจะสามารถซึมผ่านเข้ามาได้ ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะยอมแพ้ และไม่ต้องฉีดวัคซีนบูสเตอร์กันต่อไปแล้ว” นพ.อัลท์มันน์กล่าวและกล่าวต่อไปว่า “ในทางตรงกันข้าม พวกเราหลายคนนั้นแม้ว่าจะมีแอนติบอดีที่สูงอยู่แล้ว แต่ปรากฏว่ามีภูมิที่น้อยมากเมื่อต้องรับมือกับสายพันธุ์โอไมครอน ดังนั้นจึงถือว่าเป็นความจำเป็นเร่งด่วนมากที่จะต้องฉีดวัคซีนในโดสที่สี่ให้กับทุกกลุ่มอายุเพื่อเพิ่มระดับของภูมิคุ้มกันขึ้นไปอีก”
เรียบเรียงจาก:https://www.theguardian.com/society/2022/may/09/fourth-covid-jab-can-give-higher-immunity-than-initial-booster-study-finds