
‘แกนนำกลุ่มคัดค้านเหมืองหินฯ’ ปลุกชาวบ้าน ‘แก่งคอย-มวกเหล็ก’ คัดค้าน ‘ทีพีไอโพลีน’ เข้าทำ ‘เหมืองปูน’ ใน พื้นที่ลุ่มน้ำ ‘1 เอ-1 บี’ หลัง ครม.อนุมัติผันผันใช้พื้นที่ทำเหมือง
...............................
เมื่อวันที่ 8 พ.ค. นายเรืองเกียรติ สุวรรณโนภาส ประธานองค์กรคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรป่ามิตรภาพ และแกนนำกลุ่มคัดค้านเหมืองหินและโรงไฟฟ้าถ่านหิน เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 8-17 พ.ค.นี้ จะมีการเปิดเวทีประชาพิจารณ์การทำเหมืองปูนของ บริษัท ทีพีไอโพลีน จํากัด (มหาชน) หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติผ่อนผันให้ ทีพีไอโพลีน ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ที่ จ.สระบุรี
“ขอเชิญพี่น้องชาวมวกเหล็ก ,มิตรภาพ ,ปากช่องและพญาเย็น และประชาชนทุกท่าน ออกมาร่วมกันแสดงความคิดเห็น ร่วมทำประชาพิจารณ์คัดค้านการทำเหมืองปูนทีพีไอ” นายเรืองเกียรติ กล่าว
สำหรับกำหนดการการเปิดเวทีประชาพิจารณ์การทำเหมืองปูนของ บริษัท ทีพีไอโพลีน จํากัด (มหาชน) มีดังนี้ วันที่ 8 พ.ค.2565 หมู่ที่ 7 บ้านไทรงาม ต.มิตรภาพ ,วันที่ 8 หมู่ 5 ต.ทับกวาง อ. แก่งคอย ,วันที่ 9 พ.ค.2565 หมู่ที่ 8 บ้านคลองระบัง ต. มิตรภาพ ,วันที่ 10 พ.ค.2565 หมู่ที่ 10 บ้าน อมรศรี ต.มิตรภาพ ,วันที่ 11 พ.ค.2565 หมู่ที่ 3 ต.มิตรภาพ ,วันที่ 12 พ.ค.2565 หมู่ที่ 4 บ้านซับพริก ,วันที่ 13 พ.ค.2565 หมู่ที่ 2 บ้านคั่นตะเคียน ,วันที่ 15 พ.ค.2565 หมู่ 10 บ้านน้ำพุ ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย และวันที่ 17 พ.ค.2565 บ้านไทย ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย
นายเรืองเกียรติ กล่าวถึงปัญหาการทำเหมืองหินและโรงฟ้าถ่านหิน จ.สระบุรี ว่า เมื่อประมาณกลางปี 2564 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติผ่อนผันในการขอต่ออายุเหมืองปูนของ ทีพีไอโพลีน แม้ว่าชาวบ้านจะคัดค้านการอายุเหมืองปูนมาตั้งแต่ปี 2562 เนื่องจากที่ผ่านมาเหมืองปูนดังกล่าวไม่เคยมีการฟื้นฟูพื้นที่ป่าเลย อีกทั้งมีขอพื้นที่ทำเหมืองปูนแปลงใหม่แอบแฝงเข้าไป ซึ่งเป็นแปลงที่ละเมิดบุกรุกไปยังพื้นที่ข้างเคียงโดยไม่ได้รับอนุญาต รวมทั้งยังพบว่ามีการขนแร่อื่นๆออกจากพื้นที่ด้วย
“เรากลัวว่าเรื่องนี้จะเป็นการทำผิดให้เป็นถูก เราจึงคัดค้าน ซึ่งในครั้งนั้นมีการเวทีรับฟังความคิดเห็นที่สนามกีฬามวกเหล็ก โดยรวมทุกหมู่บ้านเข้ามาทำประชาพิจารณ์ร่วมกัน แต่ก็มีการล้มเวที เพราะชาวบ้านไม่เอาด้วยกับโรงปูนทีพีไอ จากนั้นอีกประมาณ 3 เดือน ก็มีการจัดใหม่ แต่เปลี่ยนเป็นการทำประชาพิจารณ์แบบแยกหมู่ และยังจัดในยามวิกาล ผมและชาวบ้านจึงออกไปคัดค้านอีก ซึ่งก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามมีการพกพาอาวุธเข้าไป ชาวบ้านจึงไล่จับการ์ดของทีพีไอ ส่งไปที่โรงพัก แต่โรงพักก็ไม่ยอมนำเข้าห้องขัง คนของผมจึงต้องตามไปถึงโรงพัก” นายเรืองเกียรติ กล่าว
นายเรืองเกียรติ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ต่อมาในช่วงกลางปี 2564 ครม.มีมติให้ผ่อนผันให้ ทีพีไอโพลีน ใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนและหินดินดานเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ซึ่งพวกเราไม่ยอมเช่นกัน อีกทั้งพื้นที่ที่ พีไอโพลีน จะเข้าทำเหมืองปูน ซึ่งอยู่ใน อ.ทับกวาง ติดต่อกับ อ.แก่งคอยกับ และ อ.มวกเหล็ก นั้น พบว่าอยู่ใกล้กับสถานที่สำคัญหลายแห่ง
เช่น วัดถ้ำพระโพธิสัตว์ ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และได้รับการอนุรักษ์จากกรมศิลปากร ซึ่งเดิมเหมืองอยู่ห่างจากถ้ำ 2 กิโลเมตร แต่ตอนนี้ห่างกันเพียง 500 เมตร ซึ่งไม่ทราบว่าเหมืองกินพื้นที่เข้ามาได้อย่างไร อีกทั้งวัดถ้ำพระโพธิสัตว์ รัชกาลที่ 5 เคยทรงเสด็จประพาส และข้างบนเขาเป็นศิลา มีพระนามาภิไธยของรัชกาลที่ 5 มีการอนุรักษ์ไว้ และถ้ำแห่งนี้มีภาพสลักนูนต่ำสมัยทวาราวดีอายุประมาณ 3000 ปี รวมทั้งยังมีถ้ำลำพูทอง ซึ่งเป็นถ้ำที่มีความยาวที่สุดในพื้นที่ภาคกลาง โดยมีความยาวของถ้ำประมาณ 4 กิโลเมตร เชื่อมจากหมู่ 3 ต.มิตรภาพไปยังหมู่ 10 ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย
“พื้นที่บริเวณนี้เป็น Buffer Zone ติดกับเขตเขาใหญ่ สมัยก่อนไม่มีฝุ่นเลยอากาศเย็น แต่ทุกวันนี้อุณหภูมิเพิ่มขึ้น 4-5 องศา เคยเจาะน้ำบาดาลลงไปประมาณ 10 กว่าเมตร แต่ปัจจุบันต้องเจาะลงไป 50–60 เมตร เนื่องจากเหมืองนำน้ำไปใช้หมด ส่วนลำน้ำมวกเหล็กลงไปสู่น้ำตกมวกเหล็ก และน้ำตกเจ็ดสาวน้อยน้ำ ก็เริ่มแห้ง ถ้าฝนไม่ตก เราจึงต้องออกมาป้องกันเคลื่อนไหว ไม่ให้เป็นการทำลายธรรมชาติรอบรอบตัวเรา โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณนี้ ซึ่งถือว่าอุดมสมบูรณ์ มีทั้งเลียงผา , กระทิงและสัตว์ป่า และการรัฐบาลอนุมัติเรื่องนี้ โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม แห้งแล้ง รกร้างว่างเปล่า ถูกทอดทิ้งนั้น ความจริงแล้วไม่ใช่ และทุกวันนี้เหมืองเริ่มขยับเข้ามายังพื้นที่นี้อีก” นายเรืองเกียรติ ระบุ
นายเรืองเกียรติ ระบุว่า นอกจากชาวบ้านจะได้รับความเดือดร้อนจากการทำเหมืองปูนแล้ว ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีการแอบสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 150 เมกะวัตต์ โดยที่ชาวบ้านไม่ทราบ ชาวบ้ายจึงได้สอบถามเรื่องดังกล่าวไปยังอุตสาหกรรมจังหวัด และยื่นเรื่องร้องเรียนไปยังคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ด้วย และจากการสำรวจพื้นที่บริเวณโรงปูนพบว่า ปัจจุบันมีโรงไฟฟ้าทั้งหมด 7 แห่ง กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 440 เมกกะวัตต์
“เหมืองปูนและโรงไฟฟ้าถ่านหิน ได้ก่อให้เกิดมลพิษ ฝุ่นละออง สารพิษตกค้างไปทั่วบริเวณ เกิดปัญหาสุขภาพ ด้านระบบทางเดินหายใจ ปอด และมะเร็ง อีกทั้งยังมีผลกระทบต่ออาชีพเลี้ยงโคนม และอาชีพทางการเกษตร การปลูกผักปลอดสารพิษ และกระทบการท่องเที่ยว นอกจากนี้ สารพิษดังกล่าวได้กระจายไปยังแปลงผัก แปลงหญ้า ลงไปยังดิน และน้ำที่ใช้อุปโภค บริโภค ซึ่งในระยะยาวจะทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ และรัฐบาลจะต้องเพิ่มงบประมาณค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ รวมทั้งยังเป็นการทำลายวิถีชุมชน ความหลากหลายทางชีวภาพ และวงจรชีวิตของสัตว์ป่า” นายเรืองเกียรติ กล่าว

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา