'รองนายกเซี่ยงไฮ้' ยอมรับแล้วนโยบายคุมโควิดล้มเหลว หลังยอดติดเชื้อรายใหม่แตะ 23,600 ราย ขณะ สหรัฐฯ สั่งบุคลากรไม่สำคัญอพยพออกจากสถานกงสุลแล้ว
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่ารองนายกเทศมนตรีเมื่องเซี่ยงไฮ้ ได้ออกมายอมรับแล้วว่านโยบายของเมืองในการรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 นั้นมีความผิดพลาด เนื่องจากตัวเลขล่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ล่าสุดของเมืองเมื่อวันที่ 9 เม.ย. นั้นพบว่าอยู่ที่ 23,600 รายแล้ว ในขณะที่ทางการสหรัฐอเมริกาได้ออกคำสั่งให้บุคลากรที่ไม่มีความสำคัญรวมไปถึงครอบครัวได้ออกจากที่ทำการสถานกงสุลในเมืองแล้ว และยังออกคำสั่งให้บุคลากรที่เหลือดำเนินการตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้รองนายกเทศมนตรีจงหมิง ของเมืองเซี่ยงไฮ้ ได้ออกมากล่าวเรียกร้องให้มีการสนับสนุนจากภาคส่วนสาธารณะและบุคลากรด่านหน้า แม้ว่า ณ เวลานี้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมากเกี่ยวกับการควบคุมอย่างเข้มงวดแต่กลับไม่ได้ผลในการควบคุมโรค โดยนายจงหมิงกล่าวว่ามีความจำเป็นจะต้องปรับปรุงการรับมือในเรื่องมาตรการรับมือไวรัส
“เรารู้สึกแบบเดียวกับกับที่ทุกคนได้เปล่งเสียงออกมา งานของเราหลายอย่างนั้นยังไม่เพียงพอ และยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ เพื่อที่จะเติมเต็มความคาดหวังของทุกคน เราต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อจะปรับปรุง” นายจงหมิงกล่าวในการสรุปประจำวัน
อนึ่งมีรายงานว่าทางกรุงปักกิ่งได้เข้ามาแทรกแซงการทำงานของเมืองแล้ว หลังจากที่พบว่าเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นประสบความล้มเหลวในกระบวนการแยกผู้ติดเชื้อในขั้นตอนของการล็อกดาวน์ และกรุงปักกิ่งได้ยืนยันว่าประเทศจีนนั้นจะยังคงต้องปฏิบัติตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ต่อไปเพื่อไม่ให้ระบบสาธารณสุขต้องเอ่อล้นไปด้วยคนไข้
ทั้งนี้มีรายงานว่าเมืองกวางโจวที่มีประชากรกว่า 18 ล้านคน และอยู่ทางตอนใต้ของเมืองเซี่ยงไฮ้นั้นได้มีการออกคำสั่งให้มีการตรวจหาผู้ติดเชื้อในทั้ง 11 เขตแล้วเช่นกัน หลังจากมีการรายงานผู้ติดเชื้อในเมืองนี้
ส่วนที่เมืองเซี่ยงไฮ้ซึ่งมีประชากรกว่า 26 ล้านคนที่อยู่ในภาวะล็อคดาวน์นั้น ณ เวลานี้ก็กำลังประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนอาหารแล้วเนื่องจากขาดแคลนผู้ที่จะจัดส่งอาหาร และยังอยู่ในความไม่แน่นอนว่าเมื่อไรการล็อคดาวน์จะสิ้นสุดลง