'เอกชน' ร้องดีเอสไอ ปม การเคหะแห่งชาติ นำ หจก.เข้าหาประโยชน์โครงการบ้านเอื้ออาทร 2 พัน ล. ชี้จ่ายเงินไปแค่ 1 พัน ล.ก่อนส่งคนเข้าบุกรุก ยึดอาคารขายต่อ หวั่น ปชช.เสียหายเพราะหลงเชื่อ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ นายประสิทธิ์ เด่นนภาลัย กรรมการผู้จัดการบริษัทเพียงประกายก่อสร้าง จำกัด พร้อมด้วยทนายความได้เดินทางเข้ามายื่นหนังสือร้องทุกข์ โดย มี พ.ต.ต.วรนันท์ ศรีหล้ำ ผู้อำนวยการกองบริหารคดีพิเศษ มารับหนังสือ เพื่อให้ดำเนินคดีกับการเคหะแห่งชาติ กรณีที่ บริษัทเพียง ประกายก่อสร้าง จำกัด เป็นคู่สัญญาร่วมทุนของการเคหะแห่งชาติ ในวงเงินการร่วมทุน มูลค่า สองพันสี่ร้อยสี่สิบแปดล้านบาท เนื่องจากบริษัทถูกบีบจากการเคหะแห่งชาติ จนต้องมีการฟ้องร้อยทางแพ่ง ที่ศาลแพ่ง และคดีถึง เป็นคดีแดงที่ 5988/2552 ให้การเคหะแพ้คดี โดยศาลมีคำพิพากษาให้เหตุผลว่า การเคหะแห่งชาติได้บีบบังคับให้บริษัทฯ นำห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) ศรีเอี่ยมการโยธาเข้ามาเป็นผู้รับเงินจากโครงการแทนบริษัทเพียงประกายการก่อสร้าง จำกัด ซึ่งเป็นการที่คณะกรรมการบริหารของการเคหะแห่งชาติบางคนที่ต้องการแสวงหาประโยชน์จาก บริษัทเพียงประกายก่อสร้าง จำกัด จนเกิดข้อพิพาทระหว่างบริษัทฯ กับการเคหะแห่งชาติ จนโครงการไม่สามารถที่จะดำเนินการต่อไปได้ นับแต่ปี พ.ศ. 2552 เป็นต้นมาซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบของการเคหะเพียงฝ่ายเดียว ขณะนี้การเคหะแห่งชาติได้ส่งคนเข้าบุกรุกและจะเอาอาคารบางส่วนออกจำหน่ายแก่ประชาชน โดยไม่มีสิทธิ์ จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนที่เข้าไปซื้ออาคารในโครงการเป็นวงกว้างอย่างใหญ่หลวง จนส่งผลให้บริษัทจำเป็นที่จะต้องดำเนินคดี และ ร้องทุกข์ ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม เพื่อให้สืบสวนสอบสวนดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด ทั้งนี้ เพื่อต้องการเข้าถึงความเป็นธรรมของรัฐ
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เอกชนถูกบีบบังคับโดยอำนาจรัฐจึงจำเป็นที่จะต้องหาที่พึ่ง เนื่องจากการใช้อำนาจบีบและมีวิธีการแบบซับซ้อน ซึ่งถือว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นที่พึ่งสุดท้าย เป็นต้นธารของกระบวนการยุติธรรม ที่น่าเชื่อถือจึงต้องมาอาศัยอำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้สืบสวนสอบสวนให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยว เหตุเกิดที่ โครงการบ้านเอื้ออาทร เทพารักษ์ 4 จังหวัดสมุทรปราการ
ขณะที่ข้อความส่วนหนึ่งในเอกสารร้องทุกข์นั้นได้ระบุว่าเมื่อกลางปี พ.ศ2564 การเคหะฯ ได้กระทําการโดยมิชอบด้วยกฎหมายต่อบริษัท ฯ โดย การเคหะแห่งชาติขออนุญาตเข้าใช้พื้นที่ของโครงการบางส่วน เพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าใจว่าการเคหะ ๆ เป็นผู้ครอบครองพื้นที่โครงการ บริษัท ฯ จึงไม่อนุญาต หลังจากนั้น การเคหะ ฯ โดยคณะกรรมการ บริหาร เจ้าหน้าที่บางคน ส่งเจ้าหน้าที่และกลุ่มบุคคล เข้าบุกรุก ยึดพื้นที่บางส่วนของโครงการ อัน เป็นการ รบกวนการครอบครอง โดยบริษัท ฯ ไม่ยินยอม การกระทําดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาเข้าฮุบกิจการ โครงการของบริษัท ฯ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย บริษัท ฯ ได้ร้องทุกข์ให้ดําเนินคดีต่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทั้งหมดในข้อหาร่วมกันบุกรุก ฯและทําให้เสียทรัพย์ (ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน สภอ.บางพลี) แม้กระนั้น การเคหะ ฯ ยังไม่หยุด ยังคงให้บุคคลซึ่งแสดงตัว เข้าครอบครองพื้นที่อาคาร บางส่วนของโครงการ โดยบริษัท ฯ ไม่อาจขัดขวางได้เลย แม้บริษัทฯ ได้นําป้ายไปปิดประกาศในพื้นที่เพื่อ สงวนสิทธิตามกฎหมาย แต่ป้ายดังกล่าวกลับถูกทําลาย
บริษัท ฯ ขอเรียนว่า โครงการทั้งหมดมีมูลค่าสองพันสี่ร้อยสี่สิบแปดล้านบาท ใน ส่วนค่าที่ดิน ทรัพย์สิน ซึ่งบริษัท ฯ ได้ดําเนินการไปแล้วมีมูลค่าเกินกว่าหนึ่งพันแปดร้อยล้านบาท การเคหะ ฯ ได้เคยส่งเงินตามสัญญาให้แก่บริษัท ฯ เพียง หนึ่งพันแปดล้านบาทเท่านั้น การเคหะแห่งชาติ มีเจตนามีพฤติการณ์ต่อเนื่องเริ่มตั้งแต่การนําห้างหุ้นส่วนจํากัด ศรีเยี่ยมการโยธาเข้ามาร่วมดําเนินกิจการ แสวงหาผลประโยชน์ กระทําการบีบบังคับให้บริษัทฯต้องจํายอม โดยให้กระทําการและงดเว้นกระทําการ ตามความประสงค์ของการเคหะแห่งชาติ และเจตนาเข้าฮุบกิจการโครงการของบริษัท ฯ ที่ได้ลงทุนไป โดย มิชอบด้วยกฎหมาย บริษัท ฯ ทราบว่า หากการบุกรุกเข้าปรับปรุงอาคารบางส่วนจนแล้วเสร็จ การเคหะ ฯ จะนําไปเสนอขายต่อประชาชน ให้เข้ามาอยู่ในโครงการ ซึ่งจะทําให้ประชาชนผู้หลงเชื่อเนื่องจากการ แสวงหาผลประโยชน์มิควรได้ของการเคหะ ฯ และเสียเงินให้แก่การเคหะ ฯ และจะก่อให้เกิดความเสียหาย อย่างมหาศาลต่อประชาชนผู้หลงเชื่อ