ศาลปค.กลางนัดอ่านคำพิพากษา ‘ศาลปกครองสูงสุด’ 12 ม.ค.นี้ คดี ‘ช่อง 3’ ฟ้องเพิกถอนมติ ‘กสทช.’ ให้ระงับการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค กรณีโฆษณา ‘สินค้า-บริการ’ เกินเวลาที่กม.กำหนด
..................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า ในวันที่ 12 ม.ค. เวลา 9.30 น. ศาลปกครองกลางนัดอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ 1333/2559 หมายเลขแดงที่ 1187/2561 ซึ่งเป็นคดีที่บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ฟ้องขอเพิกถอนมติและคำสั่งของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ให้บริษัทฯ ระงับการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ กรณีอ้างว่า สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้มีการโฆษณาบริการหรือสินค้าเกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
สำหรับคดีนี้ บริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด (ผู้ฟ้องดดี) ฟ้องว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) กับพวกรวม 3 คน มีคำสั่งตามหนังสือที่ สทช 4007/19430 ลว. 19 พ.ค.2559 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีระงับการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ตามมติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ในการประชุมครั้งที่ 12/2559 ลว. 20 เม.ย.2559 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดี ซึ่งประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้มีการโฆษณาบริการหรือสินค้าเกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
ต่อมาศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ในการประชุมครั้งที่ 12/2559 ลว. 20 เม.ย.2559 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีระงับการกระทำที่เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ดังกล่าว เนื่องจากศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จะมีอำนาจออกมติในการประชุมครั้งที่ 12/2559 ในวาระที่ 4.27เรื่อง ร้องเรียนขอให้ตรวจสอบระยะเวลาการออกอากาศโฆษณาของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
แต่มติดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิและหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนได้อย่างเต็มที่ก่อนที่จะออกคำสั่งทางปกครอง เว้นแต่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 30 แห่งพ.ร.บ.ดังกล่าว
และยังปรากฎข้อเท็จจริงว่า ผู้ฟ้องคดีมีหนังสือถึงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ขอขยายระยะเวลาในการตรวจสอบบันทึกถ้อยคำของพนักงานของผู้ฟ้องคดีออกไปอีก 7 วัน เนื่องจากข้อเท็จจริงมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง จึงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้มีการประชุมครั้งที่ 12/2559 โดยไม่รอคำชี้แจงจากผู้ฟ้องคดีให้เป็นที่ยุติก่อน และไม่ปรากฏว่าเป็นกรณีเร่งด่วน
อีกทั้งเมื่อผู้ฟ้องคดีมีหนังสือชี้แจงผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ว่า ผู้ฟ้องคดีได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญคลาดเคลื่อน จึงขอปฏิเสธข้อเท็จจริงตามบันทึกชี้แจงในวันที่ 7 เม.ย.2559 ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงมีหนังสือแจ้งผู้ฟ้องคดีว่า ข้อเท็จจริงของผู้แทนของผู้ฟ้องคดีเพียงพอที่จะพิจารณาร่วมกับพยานหลักฐานที่ปรากฏว่ามีการกระทำผิดจริงตามการชี้แจงของตัวแทนผู้ฟ้องคดี
การกล่าวอ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 จึงเป็นการรับรองข้อเท็จจริงที่ผู้ฟ้องคดียังมีข้อโต้แย้งอยู่ และไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างข้ออ้างของผู้ฟ้องคดีได้ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ปฏิเสธการชี้แจงของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นการไม่ให้โอกาสผู้ฟ้องคดีโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเพียงพอก่อนที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จะออกมติในการประชุม ครั้งที่ 12/2559
ดังนั้น การออกมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 30 วรรคหนึ่งแห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม จึงยื่นอุทธรณ์ดำพิพากษาศาลปกครองชั้นตันต่อตาลปกครองสูงสุด
อ่านประกอบ :
แพร่ประกาศตั้ง 'มูลนิธิครอบครัวช่องส่องผี' 3 พิธีกรดัง 'เจมส์-บ๊วย-เรนนี่' เป็นกรรมการ
เนื้อหาบิดเบือนรุนแรง! บิ๊กอัยการ รุมจวกละคร 'ให้รักพิพากษา' จี้ช่อง 3 แก้ไขด่วน