ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ระงับใช้ประกาศ สธ.ให้ประชาชน ผู้รับวัคซีนทางเลือกจาก รพ.เอกชน เข้ารับการรักษาพยาบาลได้ฟรีกรณีติดโควิดหรือแพ้วัคซีน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามคดีหมายเลขดำที่ 1435/2564 ลงวันที่ 3 ธ.ค.2564 ให้ระงับการใช้ประกาศกระทรวงสาธารณสุขบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดผู้ป่วยฉุกเฉินจากโรคโควิด เพื่อให้ผู้ที่ฉีดวัคซีนทางเลือกของเอกชนสามารถเข้ารับการรักษากับสถานพยาบาลได้ฟรี จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
สืบเนื่องจากกรณีที่มีประชาชนในฐานะผู้ฟ้องคดี ขอให้เพิกถอนประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 23 ก.ค.2564 ข้อ 3 ในส่วนที่กำหนดว่า “ทั้งนี้ ไม่รวมถึงวัคซีนทางเลือกที่ให้บริการโดยสถานพบาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล ซึ่งเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้รับการฉีดวัคซีน เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินจากสถานพยาบาล...” ส่งผลให้ประชาชนที่ไปจองฉีดวัคซีนทางเลือกโดยเสียค่าใช้จ่ายเอง จะไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน ทำให้ไม่สามารถเข้ารับการรักษากับสถานพยาบาลของรัฐได้ฟรี กรณีที่หากติดเชื้อโควิดหรือแพ้วัคซีนในภายหลัง
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเป็นประกาศหรือกฎที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล ด้วยเหตุฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม โดยผู้ฟ้องคดีได้ลงทะเบียนซื้อวัคซีนโมเดอร์นาให้แก่ตนและครอบครัวจากโรงพยาบาลเอกชนเป็นเงินจำนวน 13,200 บาท และเห็นว่าคดีนี้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม จึงนำคดีมามาฟ้องต่อศาล
กระทรววสาธารณสุข ในฐานะผู้ถูกฟ้องคดี ชี้แจงคัดค้านคำขอดังกล่าวตอนหนึ่งว่า สำหรับผู้ประสงค์เลือกฉีดวัคซีนที่อยู่นอกเหนือในแผนงาน โครงการ หรือกิจกรรมการป้องกันโรคและไม่ใช่บริการในสถานพยาบาลที่ภาครัฐกำหนด ซึ่งอาจเป็นวัคซีนทางเลือกโดยสถานพยาบาลเอกชนเป็นผู้จัดซื้อ ผู้เลือกใช้วัคซีนนอกเหนือในแผนงานไม่เข้าข่ายเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สถานพยาบาล (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2541 และหากเกิดอาการแพ้วัคซีนหรืออาการไม่พึงประสงค์ สามารถใช้สิทธิการรักษาพยาบาลได้ตามสิทธิที่พึงมีอยู่ตามกฎหมาย
ซึ่งประกาศฉบับดังกล่าวข้างต้น ถือเป็นมาตรการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิประชาชนให้ได้รับบริการสาธารณสุขและป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นนี้ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสถานะบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ประกาศจึงชอบด้วยกฎหมาย
นอกจากนี้การให้ประกาศฉบับนี้มีผลใช้บังคับต่อไปจะทำให้ประชาชนที่รับวัคซีนตามแผนงานของรัฐ ยังคงมีสิทธิตามกฎหมายในการรักษาพยาบาล ขณะเดียวกันผู้รับวัคซีนทางเลือกที่แพ้วัคซีนหรือมีอาการไม่พึงประสงค์ ยังคงสามารถใช้สิทธิการรักษาได้ตามสิทธิที่พึงมีอยู่ตามกฎหมาย จึงไม่มีเหตุให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง
อีกทั้งหากมีการทุเลาการบังคับประกาศดังกล่าว อาจมีผลให้ผู้รับบริการวัคซีนทางเลือก เข้าข่ายใช้สิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินได้ตามหลักเกณฑ์ของผู้ป่วยฉุกเฉินทั่วไปซึ่งจะไม่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล แต่จะส่งผลให้ผู้รับบริการไปเลือกใช้วัคซีนทางเลือกมากกว่าวัคซีนตามแผนงานมาตรการของรัฐ อันก่อให้เกิดการบริหารจัดการวัคซีนที่รัฐดำเนินการฉีดให้แก่ประชาชนที่อาจไม่ครอบคลุมหรือทั่วถึงได้ทันท่วงทีตามแผนงานมาตรการของรัฐ และการทุเลาคำสั่งจึงเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐและการจัดบริการสาธารณะดังกล่าว
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กฎหรือคำสั่งทางปกครองที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนั้นน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการให้มีผลบังคับใช้ต่อไปจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง ทั้งการทุเลาการบังคับตามกฎหรือคำสั่งดังกล่าวไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐ
จึงมีคำสั่งทุเลาการบังคับประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง กำหนดผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โรคโควิด (ฉบับที่ 2) ลงวันที่ 23 ก.ค.2564 ข้อ 3 เฉพาะในส่วนที่ไม่คุ้มครองถึงบุคคลที่ได้รับการป้องกันโรคโควิดจากการฉีดวัคซีนทางเลือกที่ให้บริการโดยสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาลที่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้รับการฉีดวัคซีนเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ภาพจาก : ไทยโพสต์