ศบค.ปรับมาตรการสกัด ‘โอไมครอน’ ประกาศห้าม 8 ประเทศแอฟริกาเข้าไทยตั้งแต่ 1 ธ.ค. ส่วนผู้ลงทะเบียนเข้าประเทศก่อนหน้า 27 พ.ย. ต้องกักตัว 14 วัน เผยจับตาทบทวนมาตรการรับนักท่องเที่ยวแบบ Test and Go จะเปลี่ยนเป็นตรวจ ATK หรือกลับไปใช้ RT-PCR
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 พ.ย.2564 พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) กล่าวถึงการติดตามการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดกลายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศชัดเจนว่าเป็นสายพันธุ์ที่มีความน่ากังวลสูง ทำให้กระทรวงสาธารณสุขต้องปรับมาตรการอย่างเร่งด่วน ว่า การแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอไมครอน ล่าสุดนอกจากทวีปแอฟริกามีรายงานการติดเชื้อแล้ว ยังพบในหลายประเทศในยุโรปตอนนี้มีรายงานแล้วทั้ง อิตาลี เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ เบลเยี่ยม สาธารณรัฐเช็ก และล่าสุดมีรายงานในประเทศเดนมาร์ก พบติดเชื้อจากประชาชนที่เดินทางมาจากประเทศกลุ่มแอฟริกา ในส่วนของเอเชียมีอยู่ที่ฮ่องกง และอิสราเอล ขณะนี้อิสราเอลประกาศปิดประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และออสเตรเลียมีรายงานพบโอไมครอนแล้วเช่นกัน
พญ.อภิสมัย กล่าวว่า ที่ประชุมกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เรียกประชุมวาระฉุกเฉินเมื่อวันที่ 28 พ.ย.ที่ผ่านมา เร่งด่วน เพื่อพิจารณาปรับมาตรการป้องกันควบคุมโควิด สำหรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร เป็นการปรับมาตรการให้สอดคล้องกับการปรับมาตรการก่อนหน้านี้ของหลายประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น บราซิล อิหร่าน และสิงคโปร์
อย่างไรก็ตามที่องค์การอนามัยโลกมีความเป็นห่วงสายพันธุ์กลายพันธุ์โอไมครอน มีรายงานว่ามีการแพร่กระจายได้เร็วยิ่งกว่าสายพันธุ์เดลต้า ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการรายงานด้วยความรุนแรง แต่องค์การอนามัยโลกได้ย้ำว่า ในกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุ และมีโรคประจำตัวถือว่ามีความเสี่ยงที่น่าเป็นห่วง และเน้นย้ำว่าปัจจัยสำคัญในการเกิดเชื้อกลายพันธุ์มักจะเป็นประเทศที่มีประชากรที่ได้รับวัคซีนค่อนข้างต่ำ มีการกระจายวัคซีนไปยังประชาชนน้อยมาก ทำให้ภูมิคุ้มกันน้อยนั้นเป็นเหตุให้เกิดเชื้อกลายพันธุ์อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขจึงย้ำว่าหากใครไม่รีบรณรงค์ให้ประชาชนฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรได้มากที่สุด เราอาจจะเป็นที่หนึ่งที่เกิดการกลายพันธุ์ของเชื้อได้
สำหรับผู้เดินทางมาจากแอฟริกาใต้ ตัวเลขที่รายงานระหว่างวันที่ 1- 27 พ.ย.2564 สะสมอยู่ที่ 1,007 ราย ทั้งหมดนี้มีผลตรวจ RT-PCR เมื่อเดินทางถึงประเทศไทยเป็นลบ แสดงให้เห็นว่ามาตรการสาธารณสุขของประเทศไทยในการคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศถือเป็นการคัดกรองอย่างมีประสิทธิภาพ การปรับมาตรการเข้ารัฐอาณาจักรไทย ของทวีปแอฟริกาที่ประกาศเมื่อวันที่ 28 พ.ย.นี้ แบ่งกลุ่มประเทศแอฟริกาออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้
-
กลุ่มแรกเป็นกลุ่มประเทศที่มีรายงานเชื้อชัดเจนแล้ว ได้แก่ บอตสวานา เอสวาตินี เลโซโท มาลาวี โมซัมบิก นามิเบีย แอฟริกาใต้ และซิมบับเว หากประชาชนที่มีถิ่นพำนักจากประเทศเหล่านี้เกิน 21 วัน จะเดินทางเข้ามาได้ในกรณีกักตัว และแซนด์บ็อกซ์เท่านั้น หลังวันที่ 27 พ.ย. เป็นต้นมา มีประกาศชัดเจนว่าจะไม่อนุญาตจากประชาชนจาก 8 ประเทศเหล่านี้ลงทะเบียนเพื่อขอเข้าราชอาณาจักรไทย แต่จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ลงทะเบียนมาก่อนล่วงหน้านี้แล้ว ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัว 14 วัน ตรวจ RT-PCR 3 ครั้ง และมีการประกาศเพิ่มว่า 8 ประเทศนี้ หลังวันที่ 1 ธ.ค.2564 คือ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามไม่ให้มีการเดินทางเข้าประเทศไทย ยกเว้นเฉพาะคนไทย
-
กลุ่มที่สอง คือผู้ที่เดินทางจากทวีปแอฟริกานอกเหนือจากประเทศที่มีรายงานพบเชื้อ 8 ประเทศ มีเงื่อนไขว่าเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยแซนด์บอกซ์ ต้องกักตัวเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ลงทะเบียนขอเข้าราชอาณาจักรไทย ตั้งแต่ 27 พ.ย. เป็นต้นไป หากลงทะเบียนมาก่อนหน้านี้แล้วจะต้องมีการกักตัว 14 วัน ตรวจ RT-PCR 3 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เดินทางมาถึงเมืองไทยก่อนหน้านี้ เช่น ที่มีจำนวนหนึ่งเดินทางมาถึงเมื่อวันที่ 15 พ.ย. นับถึง 5 ธ.ค.ขอให้เจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงานโรคติดต่อ เฝ้าระวังและติดตามอาการคนกลุ่มนี้ให้ครบ 14 วัน ขณะนี้มีการประสานงานทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้เกือบ 200 ราย ซึ่งสามารถติดตามได้ทั้งหมด
ทั้งนี้ การประชุมของ ศบค.ชุดใหญ่ เมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา มีการพูดถึงการประเมินนักท่องเที่ยวแบบไม่ต้องกักตัว หรือ Test and Go เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย จะมีการตรวจโดยใช้ ATK แทน และได้ประกาศจะเริ่มใช้ 16 ธ.ค.นี้ แต่ด้วยเหตุผลที่ทางกระทรวงสาธารณสุขมีการประเมินสถานการณ์และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จึงต้องขอให้ทุกคนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ว่าจะคงตรวจ RT-PCR หรือจะเปลี่ยนเป็น ATK ตามมติ ศบค.หรือไม่นั้น ยังคงต้องติดตาม เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage