'แคนาดา' เผยผลวิจัย คนฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า-ไฟเซอร์ มีแอนติบอดีสูงกว่าผู้ติดโควิดโดยธรรมชาติ และป้องกันโควิดเดลต้าได้ดีกว่า
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัส ว่าที่ประเทศแคนาดานั้นได้มีรายงานผลการศึกษาว่าผู้ที่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์หรือวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้านั้น พบว่าจะมีระดับภูมิคุ้มกันที่เพิ่มสูงขึ้นมากกว่ากลุ่มคนที่ได้รับการติดเชื้อโควิด-19 โดยธรรมชาติ ซึ่งรายงานดังกล่าวนั้นถูกเผยแพร่บนวารสาร Scientific Reports ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา และมีผู้ที่ดำเนินการวิจัยคือทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมอนทรีอัลในประเทศแคนาดา ซึ่งสำรวจพบว่าจำนวนสารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดีที่เกิดขึ้นมานั้นยังคงมีประสิทธิภาพในการรับมือกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้า
ขณะที่ นพ.ฌอง-ฟรังซัวส์ แมสสัน ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยมอนทรีอัลกล่าวว่าการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิม จำนวน 32 รายที่ไม่ต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลที่ประเทศแคนาดาเมื่อช่วงปี 2563 ซึ่งกลุ่มตัวอย่างดังกล่าวนั้นถูกนำมาศึกษาในช่วงเวลาหลังจากที่ถูกตรวจพีซีอาร์ว่าติดโควิด-19 ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไประหว่าง 14-21 วัน พบข้อมูลที่สำคัญว่าทุกคนที่มีการติดเชื้อนั้นจะมีการผลิตแอนติบอดีออกมา แต่ว่าในบุคคลที่มีอายุมากจะมีการผลิตแอนติบอดีออกมามากกว่าในบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี
นพ.แมสสันกล่าวต่อไปว่าแอนติบอดีนั้นจะยังคงอยู่ในกระแสเลือดต่อไปหลังจากการวินิจฉัยไปแล้วอย่างน้อย16 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตามแอนติบอดีที่เกิดจากการติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ดั้งเดิมนั้นจะมีอัตราการตอบสนองต่อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ๆทั้งสายพันธุ์เบต้า,เดลต้า และแกมม่า ลดลงไปอยู่ที่ประมาณ 30-50 เปอร์เซ็นต์
ขณะที่ นพ.โจเอล เพลเลเทียร์ ศาสตราจารย์อีกคนที่มหาวิทยาลัยมอนทรีอัลก็กล่าวว่ากระบวนการทดสอบแอนติบอดีดังกล่าวนี้นั้นยังรวมไปถึงการทดสอบความสามารถของแอนติบอดีในการป้องกันโปรตีนหนามของไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้าซึ่งแพร่เข้าสู่ร่างกายมนุษย์โดยเชื่อมต่อเข้ากับส่วนรับ ACE-2 ในเซลล์ของร่างกายมนุษย์และนำไปสู่การติดเชื้อโควิด-19
อย่างไรก็ตามนักวิจัยไม่ได้มีการสำรวจข้อมูลในกรณีเรื่องประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันซึ่งเกิดจากการติดโควิดสายพันธุ์อื่นๆนอกเหนือจากสายพันธุ์ดั้งเดิม โดยในเอกสารทีมนักวิจัยได้ระบุไว้ว่าเมื่อมีผู้ที่มีอาการติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรงได้รับการฉีดวัคซีน ปรากฏข้อมูลว่าระดับแอนติบอดีในเลือดนั้นพุ่งสูงเป็น 2 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนที่ติดเชื้อจากไวรัสมาก่อนหน้านี้แล้ว
โดย นพ.แมสสันกล่าวว่าแอนติบอดีที่เกิดจากการฉีดวัคซีนนั้นยังคงสามารถจะป้องกันไม่ให้ส่วนรับ ACE-2 เชื่อมต่อกับไวรัส ได้ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าสนใจก็คือว่ามีตัวอย่างที่ชัดเจนว่าพบกรณีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอายุต่ำกว่า 49 ปีนั้น พบว่าร่างกายของพวกเขาไม่ได้ผลิตแอนติบอดีเพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนรับ ACE-2 เชื่อมต่อกับไวรัสแต่อย่างใด ซึ่งกรณีนี้นั้นถือว่าแตกต่างจากการฉีดวัคซีนเป็นอย่างยิ่ง และยังเป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าการฉีดวัคซีนนั้นจะเพิ่มการป้องกันจากไวรัสโควิด-19 ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มที่เคยติดเชื้อในสายพันธุ์ดั้งเดิมมาก่อนหน้านี้แล้ว
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage