'อสส.'แถลงข่าวกรณีปมไม่ฟ้องจับยาเสพติดที่'น่าน' ชี้ข้อเท็จจริงสั่งฟ้องในคดีหลัก ขอศาลยึดยาเสพติด 35 กก.พร้อมเงินสดไปแล้ว แต่ ป.ป.ส.ขยายผลเพิ่มพบเกี่ยวพันกับความผิดนอกราชอาณาจักรเลยส่งสำนวนกลับไปสอบสวนให้เรียบร้อย
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่าที่สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) นายสิงห์ชัย ทนินซ้อน อัยการสูงสุดคนที่ 16 ได้แถลงข่าวในหลายประเด็นที่สาธารณชนสนใจ โดยตอนหนึ่งของการแถลงข่าวนั้นนายสิงห์ชัยได้แถลงข่าวถึงกรณีที่ปรากฎเป็นข่าวว่านายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กล่าวว่าจะมีการตรวจสอบกรณีคดีจับยาเสพติดล็อตใหญ่ในจังหวัดน่านซึ่ง เริ่มต้นจากการจับกุมตัวการใหญ่ ยึดทรัพย์ได้กว่า 30 ล้านบาท ต่อมามีการขยายผลจับกุมได้ตัวผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวน 7 ราย ยึดทรัพย์ได้เงินกว่า 2,175 ล้านบาท ซึ่งคดีดังกล่าวมีการทำสำนวนเสร็จแล้วแต่ไม่สามารถฟ้องคดีได้
โดยนายสิงห์ชัยกล่าวว่า หลังจากที่ผู้บริหารของ อสส.ทราบข่าวจากสื่อ ส่วนตัวก็ได้มีการแจ้งไปยังอธิบดีอัยการภาค 5 ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและแจ้งผลมาโดยด่วน ซึ่งกรอบระยะเวลาที่ให้ไว้ก็คือภายในระยะเวลา 7 วัน และเนื่องจากเรื่องนี้ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญ ก็คงจะต้องมีการนำเรื่องเข้าไปหารือในที่ประชุมคณะกรรมการอัยการ (ก.อ.) ต่อไป
“เรียนให้สื่อทราบข้อมูลว่าคดีนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่เท่าที่ตรวจสอบทราบว่าคดีนี้มีหลายคดีเกี่ยวพันกัน และทราบว่าในคดีหลัก และผู้ต้องหาหลักก็ได้มีการฟ้องแล้ว และของกลางในคดีหลักไม่ว่าจะเป็นเงินหรือว่ายาเสพติด ตรงนี้ก็ได้มีการขอศาลให้ริบของกลางแล้ว โดยคดีที่มีปัญหานั้นก็อยู่ระหว่างการสอบข้อเท็จจริง เข้าใจว่าน่าจะมีการขยายผล น่าจะมีประเด็นเพิ่มเติมในด้านอำนาจสอบสวนก็คือว่าจะเป็นความผิดนอกราชอาณาจักรหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับอำนาจสอบสวน เพราะว่าในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้น อัยการจะมีอำนาจฟ้องคดีได้ การสอบสวนต้องชอบด้วยกฎหมาย” นายสิงห์ชัยกล่าว
ขณะที่ทางด้านของนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า เท่าที่ทราบเบื้องต้นอย่างไม่เป็นทางการนั้นก็คือว่าสำนวนคดีที่นายสมศักดิ์ได้กล่าวถึงนั้นมีความโยงใยและเกี่ยวข้องไปถึง 4 ประเด็นด้วยกันโดยเรื่องแรกก็คือว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นได้ไปจับยาไอซ์จำนวน 60 กิโลกรัม ได้ผู้ต้องหา 2 คน จนกระทั่ง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. ได้ไปตรวจสอบและขยายผลก็คือว่าเอเย่นต์รายใหญ่ของยาเสพติดนั้นเป็นเครือข่ายข้ามชาติของคนชื่อ ม. แล้ว ป.ป.ส.ก็สะกดรอยติดตามเครือข่ายนี้จนวันเกิดเหตุก็สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คน พร้อมรถยนต์และเฮโรอีน 100 แท่ง คิดเป็นน้ำหนัก 35 กิโลกรัม ในท้องที่ จ.น่าน ซึ่งจากการสอบสวน ยาทั้งหมดเป็นของคนชื่อ ม.นี้ พนักงานสอบสวนจึงได้มีการส่งเรื่องไปยังอัยการ จ.น่าน และอัยการ จ.น่านก็ได้มีการฟ้องผู้ต้องหาจำนวน 3 คน ต่อศาล จ.น่านแล้ว และฟ้องคนชื่อ ม.แล้ว โดยของกลางทั้งหมดนั้นก็มีการขอศาลริบแล้ว หรือก็คือสรุปว่าผู้ต้องหาทั้งหมดหลักๆแล้ว ก็ได้มีการสั่งฟ้องแล้วนั่นเอง
นายประยุทธ กล่าวต่อว่า ทาง ป.ป.ส.ได้ทำงานขยายผลต่อโดยดูเส้นทางการเงิน ดูการใช้โทรศัพท์ ก็เห็นการใช้โทรศัพท์ของเครือข่ายทั้งในประเทศเมียนมาและในประเทศมาเลเซีย ซึ่งในกลุ่มเครือข่ายหลังๆก็พบว่ามีผู้ที่เกี่ยวข้องจำนวน 10 คนด้วยกัน จึงได้มีการไปตามจับผู้ต้องหามาได้ 7 คน หลบหนีไปได้ 3 คน ซึ่ง 7 คนนี้แบ่งออกเป็นนักบินที่ลำเลียงยาเสพติดจำนวน 3 คน และบริษัทรับแรกเปลี่ยนเงินตราอีกจำนวน 4 คน
รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวต่อว่ายาเสพติดนั้นมีทั้งสั่งจากเมียนมา มีทั้งสั่งจากประเทศไทย เป้าหมายก็คือไปที่ประเทศมาเลเซีย มันก็เลยมีข้อเท็จจริงในสำนวนว่าเป็นความผิดนอกราชอาณาจักร ทางสำนักงานอธิบดีอัยการภาค 5 ก็มองว่าการสอบสวนคดีนอกราชอาณาจักรนั้นอำนาจสอบสวนเป็นของอัยการสูงสุด สำนักงานอธิบดีอัยการไม่มีอำนาจ จึงได้มีการส่งสำนวนกลับไป ไปสอบสวนให้มันถูกต้อง สรุปก็คือว่าฟ้องตัวการหลักไปแล้ว ส่วนการขยายผลนั้นมีประเด็นเกี่ยวกับ 2 ประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจึงอยู่ในข่ายความผิดนอกราชอาณาจักร
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage