นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีคิกออฟฉีดไฟเซอร์ให้นักเรียนช่วงอายุ 12-17 ปี เตรียมรับเปิดเทอม 1 พ.ย.นี้ ย้ำปลอดภัย ยันวัคซีนมีเพียงพอตามเป้า 150-170 ล้านโดสในปีหน้า มีเด็กแสดงความประสงค์แล้วกว่า 3.6 ล้านคน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธี Kick off สร้างเกราะป้องกันด้วยวัคซีน เด็กปลอดภัย เรียนอุ่นใจ ต้อนรับเปิดเทอม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนในเด็กกับพ่อแม่ผู้ปกครอง พร้อมชูมาตรการแซนด์บอกซ์ลดความเสี่ยงของโควิด-19 ณ โรงเรียนพิบูลย์อุปถัมภ์ กทม.
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถือเป็นโอกาสแรกที่ได้มาพบกับเด็กๆ จำนวนมากในวันนี้ ขอบคุณผู้เกี่ยวข้องทุกคน และยินดีมาพบครูอาจารย์ เด็กๆ บุคลากรทางการศึกษา ตลอดจนผู้แทนราษฎรที่ดูแลพื้นที่เหล่านี้อยู่ด้วย ทั้งหมดเป็นระบบการทำงานประเทศของเรา คือมีรัฐบาล มีส่วนราชการ ในฐานะเป็นฝ่ายบริหาร มีฝ่ายนิติบัญญัติ บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และฝ่ายตุลาการ ซึ่ง 3 อำนาจทำงานอยู่ด้วยกันร่วมกัน จึงมีความจำเป็นที่ต้องปรึกษาหารือมาโดยตลอดในการทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลดีกับประเทศชาติบ้านเมืองและพวกเราทุกคน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณทุกคนที่ร่วมมือในการมาฉีดในครั้งนี้ เพื่อสร้างเกราะป้องกันให้กับเด็กมีความปลอดภัยอุ่นใจต้อนรับเปิดเทอม ซึ่งโรคโควิด-19 นั้น มีผลกระทบมากมายทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย ซึ่งการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องรักษาระบบนี้ให้ได้ เพราะจะส่งผลกระทบต่อทั้งครู นักเรียน และบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งวันนี้มั่นใจที่มีการบริหารจัดการการศึกษาและส่งเสริมจัดการเรียนการสอนในช่วงโควิด-19 ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งครูมีบทบาทอย่างมากในการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่องทาง วันนี้ตนเห็นภาพผู้ปกครองนั่งเรียนกับลูกในกรณีที่เด็กอยู่บ้านเชื่อว่าไม่ใช่ภาระ ถ้ามีเวลาก็อยู่กับลูกกับหลาน เป็นช่วงเวลาครอบครัวที่ได้อยู่ร่วมกัน แต่ต้องขอโทษถ้ามีหลายคนรู้สึกเป็นภาระ แต่วันนี้ต้องมีความใกล้ชิดกันในครอบครัวมากยิ่งขึ้น เพื่อมีภูมิต้านทานในการอยู่ในโลกใบนี้ต่อไป
"วันนี้เป็นการส่งเสริมและเตรียมความพร้อมด้านการศึกษาให้เดินหน้าไปได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการฉีดระยะแรกให้ได้รับวัคซีนกันครบถ้วน เพื่อเตรียมเปิดเทอม และเพื่อให้ความมั่นใจผู้ปกครองที่จะส่งบุตรหลานมาเรียนในโรงเรียน สำหรับวัคซีนที่ฉีดให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปนี้ เป็นวัคซีนไฟเซอร์ที่มีประสิทธิภาพและได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ถ้าเราฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมในนักเรียน ครู และบุคลากรทางศึกษาก็จะทำให้การเปิดภาคเรียนที่ 2 ปี 2564 เป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนอยากเห็นภาพทุกคนได้รับวัคซีนอย่างถ้วนหน้า แน่นอนเป็นหน้าที่ของรัฐบาลอยู่แล้วที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่เรื่องการจัดหาวัคซีนมี 2 ประเภทคือวัคซีนหลักที่รัฐบาลจัดหา ซึ่งเป็นการเจรจาโดยภาครัฐ รัฐบาลต่อรัฐบาล แต่ละวัคซีนทางเลือกเป็นการเจรจาระหว่างผู้จำหน่ายวัคซีน เพื่อเป็นทางเลือกให้กับคนทั่วไป โดยยืนยันปีนี้วัคซีนมีเพียงพอทั้งปีนี้และไปถึงปีหน้า คาดการณ์ว่ามีวัคซีน 150 - 170 ล้านโดสในปีนี้ ฉีดได้ครบถ้วนตามที่เราตั้งเป้าไว้ ย้ำว่าวันนี้ต้องเดินหน้าประเทศไปข้างหน้า ให้การเปิดภาคเรียนการศึกษาเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่การควบคุมการแพร่ระบาดก็เป็นไปตามแผนที่เราคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า
นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขวางแนวทางฉีดวัคซีนไฟเซอร์สำหรับเด็กอายุ 12–18 ปี (ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 หรือเทียบเท่า) ประมาณ 4.5 ล้านคนทั่วประเทศ โดยระยะแรกได้จัดสรรวัคซีน 2 ล้านโดสในต้นเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งบูรณาการกับงานอนามัยโรงเรียนเพื่อให้เด็กเข้าถึงวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการฉีดวัคซีนไม่ได้เป็นเงื่อนไขในการเปิดเรียนต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ แต่การฉีดวัคซีนช่วยให้เด็กวัยเรียน มีความปลอดภัยเพิ่มขึ้น ส่วนเด็กที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนก็สามารถเข้าเรียนได้ ควบคู่กับการเข้มงวดมาตรการป้องกันโรค ภายใต้การพิจารณาของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด สำหรับเด็กที่มีโรคประจำตัวไม่ได้เรียนหนังสือ หรือกลุ่มนอกระบบการศึกษา สามารถเข้ารับวัคซีนที่โรงพยาบาลที่รักษาประจำได้ ส่วนเด็กเรียนที่บ้านหรือโฮมสคูล ลงทะเบียนรับวัคซีนกับโรงพยาบาลใกล้บ้านได้เช่นกัน ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กจะเป็นไปตามความยินยอมของนักเรียนและผู้ปกครอง ไม่เป็นการบังคับ ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยงไปบ้างแล้ว เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน เป็นต้น
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า จากข้อมูลผลงานวิจัยในต่างประเทศ ในกลุ่มคนที่ได้รับวัคซีนชนิด mRNA ได้แก่ ไฟเซอร์และโมเดอร์นา พบว่ามีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะมีอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis) ซึ่งพบบ่อยกว่าในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กผู้ชายหลังรับวัคซีนโดสที่ 2 อาจทำให้เจ็บหน้าอก หัวใจเต้นแรง แต่อาการจะหายไปเองใน 1 สัปดาห์ สำหรับประเทศไทยพบอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบที่คณะผู้เชี่ยวชาญวินิจฉัยแล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับวัคซีนเพียง 1 ราย เป็นเด็กชายอายุ 13 ปี มีภาวะโรคอ้วน แต่สามารถรักษาหายเป็นปกติแล้ว ส่วนกรณีที่ผู้ปกครองมีความกังวลและประสงค์ให้บุตรหลานฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตายนั้น หากบริษัทผู้ผลิตยื่นเอกสารขึ้นทะเบียนปรับการใช้ในเด็กกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาเรียบร้อยแล้ว กระทรวงสาธารณสุขจะจัดบริการเพิ่มเติมให้ต่อไป
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การป้องกันโควิด-19 ในสถานศึกษา ที่ผ่านมา กรมอนามัย ได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ จัดทำแนวปฏิบัติ Sandbox : Safety Zone in School สำหรับโรงเรียนที่มีความพร้อมสามารถเปิดการเรียนการสอนที่โรงเรียนได้ในสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ได้ จึงขอให้โรงเรียน และนักเรียนปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยการจัดอาคารและพื้นที่โดยรอบของโรงเรียนให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย ประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่าน Thai Stop COVID 2 Plus โดยถือปฏิบัติเข้มข้นต่อเนื่องกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ Small Bubble หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมข้ามกลุ่มกัน จัดระบบการให้บริการอาหารสำหรับนักเรียน ครู และบุคลากรในสถานศึกษา ตามหลักมาตรฐานสุขาภิบาลอาหารและหลักโภชนาการ จัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้ได้ตามแนวปฏิบัติด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในการป้องกันโรคโควิด-19 ในสถานศึกษา ได้แก่ การระบายอากาศภายในอาคาร การทำความสะอาด คุณภาพน้ำอุปโภคบริโภค และการจัดการขยะ ควบคุมการเดินทางเข้าและออกจากโรงเรียนอย่างเข้มข้น มีระบบติดตามเข้มงวดของครูและบุคลากร พร้อมเฝ้าระวังตนเองผ่าน Thai save Thai สม่ำเสมอ ตรวจคัดกรองและสุ่มตรวจโดยใช้วิธี Rapid Antigen Test รวมถึงการได้รับวัคซีนของครู บุคลากร ผู้ปกครอง และนักเรียน ตามเกณฑ์และบริบทของพื้นที่ ในกรณีที่โรงเรียนมีการเปิดเรียนแล้วพบการติดเชื้อภายในโรงเรียนต้องปฏิบัติตามแผนเผชิญเหตุของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
ขณะที่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ กล่าวว่า สำหรับวันนี้จะเริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้เด็กใน 15 โรงเรียน 13 เขตสุขภาพก่อน ส่วนจำนวนนักเรียนที่ผู้ปกครองยินยอมให้ฉีดวัคซีนในโครงการ ณ เวลานี้มีจำนวนเกือบ 80% แล้ว สำหรับโรงพิบูลอุปถัมภ์ มีนักเรียนที่แสดงความจำนงขอรับวัคซีน จำนวน 695 คน จากจำนวน 799 คน โดยวันแรกมีนักเรียนเข้ารับวัคซีน จำนวน 200 คน
น.ส.ตรีนุช กล่าวต่อไปว่า การเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 พ.ย.นี้ ยืนยันว่ามีความพร้อมเปิดเทอมแน่นอน แต่ทั้งนี้จะต้องมีการประเมินว่าจะสามารถเปิดเรียนในรูปแบบใด โดยคำนึงถึงมาตรการต่างๆ เพื่อความความปลอดภัย รวมถึงมาตรการความปลอดภัยของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด แต่อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนก็เป็นการยืนยันว่าหากมีการติดเชื้อจะไม่เกิดความรุนแรงกับเด็กและครอบครัว ซึ่งขณะนี้ได้รับการประสานงานจากกระทรวงสาธารณสุขว่าจะฉีดวัคซีนให้กับครูและบุคลากรที่ตกหล่นเพิ่มเติม หลังจากฉีดไปแล้วกว่า 70% ซึ่งนายกรัฐมนตรี ก็ได้กำชับว่าการฉีดวัคซีนไม่เฉพาะนักเรียนเท่านั้น ครูที่ยังไม่ได้ฉีดก็ต้องได้รับการฉีดคู่ขนานกันไป ตลอดจนครอบครัวของเด็ก ๆ ด้วย ซึ่งการฉีดวัคซีนครั้งนี้มีนักเรียนที่ไม่ประสงค์ขอรับการฉีดวัคซีน โดยโรงเรียน และศึกษาธิการจังหวัดจะประสานงานกับผู้ปกครองอยู่ตลอด พร้อมทั้งประสานกับกระทรวงสาธารณสุขในการจัดสรรเพิ่มเติมต่อไป
นพ.โอภาส การ์ยกวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงรายงานสถานการณ์วัคซีนโควิด-19 และการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กนักเรียน ระบุว่า ขณะนี้การฉีดวัคซีนในเด็กมีความสำคัญมาก เพราะการปิดเทอมในรูปแบบเรียนออนไลน์เป็นเวลานานส่งผลต่อการศึกษาและพัฒนาการของเด็ก ดังนั้น การฉีดวัคซีนโควิด-19 วันนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่เราจะฉีดให้กับทุกคนในประเทศไทยที่มีความสมัครใจ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี สาเหตุที่ทำการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในเด็กค่อนข้างช้ากว่ากลุ่มอื่นเนื่องจาก การฉีดวัคซีนต้องคำนึงถึง 2 อย่าง คือ 1.ประสิทธิภาพของวัคซีน และ 2.ความปลอดภัย
นพ.โอภาส กล่าวว่า โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ในไทยหลายตัว แต่ที่นำมาฉีดให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปได้ แต่ขณะนี้มีตัวเดียวในไทย คือ วัคซีนไฟเซอร์ ที่เป็นชนิด mRNA ส่วนวัคซีนโมเดอร์น่า ยังไม่เข้ามาและไม่ใช่วัคซีนหลักที่รัฐบาลไทยจัดหา ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนในเด็กของประเทศไทยมีระบบเดิมอยู่แล้ว เช่น วัคซีน HPV ที่ฉีดให้เด็กหญิงชั้น ป.6 ขึ้นไป
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 29 ก.ย.2564 ที่ผ่านมา วัคซีนไฟเซอร์มาถึงไทย หลังจากตรวจสอบคุณภาพแล้ว วันที่ 30 ก.ย. ก็กระจายไปที่แต่ละอำเภอ โดยกระทรวงศึกษาธิการ รวบรวมข้อมูลเด็กนักเรียนที่เข้าเกณฑ์การรับวัคซีนโควิด-19 ประมาณ 5 ล้านคน จากการสำรวจความประสงค์ของผู้ปกครอง พบว่ากว่า 80% มีความประสงค์และอนุญาตให้เด็กฉีดวัคซีน เป็นจำนวนเด็กราว 4 ล้านคน จากนั้น ทางจังหวัดกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ร่วมกันวางจุดฉีดวัคซีน จนถึงระบบการติดตามกลังการฉีด โดยส่วนกลางจะส่งวัคซีนไฟเซอร์ไป อย่างที่รู้กันดีว่า หากเก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส จะมีอายุนานประมาณ 30 วัน ฉะนั้นจะต้องมีระบบที่ข้อมูลต่างๆ สอดคล้องกัน
"ดังนั้น วัคซีนไฟเซอร์ล็อตแรกที่ส่งไป 2 ล้านโดส ส่วนใหญ่จะถึงที่โรงเรียนแล้ว แต่จะไม่ทุกโรงเรียน เพราะนักเรียนมีประมาณ 4 ล้านคน และวันพุธที่ 6 ต.ค. จะมีเข้ามาเพิ่มอีก 1.5 ล้านโดส สัปดาห์ถัดไปก็จะมาอีกประมาณ 1.5 ล้านโดส ก็จะเร่งกระจายออกไป ฉะนั้นอีก 2 อาทิตย์ก็จะมีวัคซีนกระจายไปครบตามจำนวนนักเรียนที่ฉีด" นพ.โอภาส กล่าว
นพ.โอภาส กล่าวว่า การติดตามเรื่องผลข้างเคียงของวัคซีนโควิด-19 โดยเฉพาะชนิด mRNA ที่คนเป็นห่วงกันมาก คือ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ส่วนใหญ่จะมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ ทั้งนี้ อุบัติการณ์การเกิด ข้อมูลทั่วโลกอยู่ที่ 6 รายต่อการฉีด 1 แสนโดส พบมากในเด็กชาย ซึ่งอาการส่วนใหญ่จะหายเองได้ ส่วนน้อยอาจต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล แต่หากดูเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าการฉีดวัคซีนมีประโยชน์มากกว่า จึงเป็นแนวนโยบายว่าเราต้องเร่งฉีดวัคซีนเด็กนักเรียน ควบคู่กับการติดตามอาการไม่พึงประสงค์ ผ่านแอปพลิเคชัน หมอพร้อม หากพบว่ามีอาการผิดปกติ ก็ให้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อการติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด
"สำหรับเด็กผู้หญิงข้อมูลส่วนใหญ่เชื่อว่าปลอดภัย คำแนะนำหลายคนตอนนี้บอกว่าให้ฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็ม ส่วนเด็กชายให้ฉีดก่อน 1 เข็ม และประเมินข้อมูลอีก 2 อาทิตย์ถัดไป ว่าจะฉีดเข็ม 2 ต่อหรือไม่อย่างไร นอกจากนั้นก็จะรวบรวมจากข้อมูลทั่วโลกมาประเมินอีกครั้งด้วย" นพ.โอภาส กล่าว
เมื่อถามว่าการฉีดวัคซีน 1 เข็ม ประสิทธิภาพป้องกันการติดเชื้อได้เพียงพอหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า การฉีด 2 เข็มประสิทธิภาพดีกว่า ผลข้างเคียงก็เกิดขึ้นได้มากกว่า เป็นการชั่งระหว่างผลดีและผลเสีย แต่ยืนยันว่าผลดีมากกว่า ส่วนผลเสียและผลข้างเคียงเป็นสิ่งที่เราต้องระมัดระวัง
นพ.โอภาส กล่าวถึงแผนการฉีดวัคซีนว่า ยังเป็นไปตามแผน โดยเดือนนี้จะฉีดให้มากที่สุด ขณะที่แผนการฉีดวัคซีนในปี 2564 จะฉีดให้ได้ 119 ล้านโดส และปี 2565 จำนวน 86 ล้านโดส แบ่งเป็นเข็มแรก 6 ล้านโดส ในเด็กอายุ 3-11 ปี แต่กำลังรอข้อมูลจากองค์การอาหารและยา (อย.) ว่าจะเป็นชนิดใด ขอให้รอติดตามข้อมูล แต่ยืนยันว่าวัคซีนที่ฉีดมีความปลอดภัยในเด็ก คาดว่าไม่เกินปีหน้าจะมีวัคซีนมาฉีดเด็กกลุ่มดังกล่าว เข็ม 2 จำนวน 14 ล้านโดส เป็นเด็กและผู้ตกค้างจากการฉีดวัคซีนเข็ม 1 และ เข็มที่ 3 จำนวน 66 ล้านโดส เป็นบูสเตอร์โดส สำหรับผู้ที่มีอายุ 3 ปี ขึ้นไป
ในเรื่องวัคซีนไฟเซอร์ที่รัฐบาลสั่งเข้ามา 30 ล้านโดส โดยเพิ่งเข้ามา 2 ล้านโดสนั้น มีการกระจายให้กับโรงเรียนต่างๆ แล้ว โดยในวันพุธนี้จะมีเข้ามาอีก 1.5 ล้านโดส และวันพุธหน้าจะมีเข้ามาอีก 1.5 ล้านโดส ซึ่งจะครบจำนวนที่ฉีดวัคซีนในเด็กรอบแรก โดยการฉีดวัคซีนในเด็กเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ประเทศและการเปิดเรียนกลับไปเป็นปกติ พร้อมยืนยันว่าวัคซีนที่ใช้มีความปลอดภัย ผ่าน อย. แล้ว
ส่วนการเปิดภาคเรียนแบบเรียน On site จะทำให้เกิดคลัสเตอร์มากขึ้นหรือไม่ นพ.โอภาส กล่าวว่า จะยังคงเน้นมาตรการเว้นระยะห่าง และอากาศโปร่ง รวมถึงครูต้องฉีดวัคซีนให้ครบ 100% โดยได้เน้นย้ำไปที่กระทรวงศึกษาธิการแล้ว เพื่อให้ตัวบุคคลากรมีความปลอดภัย ขณะที่นักเรียนยังคงเข้มงดเรื่อง การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และเน้นไปที่มาตรการเฝ้าระวัง เช่น โรงเรียนประจำ จะต้องมีการตรวจ ATK เป็นระยะ ซึ่งแต่ละโรงเรียนและจังหวัดจะเป็นผู้กำหนดเอง ส่วนของกระทรวงสาธารณสุขจะติดตามการระบาดที่เป็นคลัสเตอร์ เพื่อควบคุมการระบาดไม่ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงต้องอาศัยความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage