สธ.เผยเริ่มฉีดไฟเซอร์ให้นักเรียน 4 ต.ค.นี้ ระบุมีเด็กยื่นความประสงค์แล้ว กว่า 3.6 ล้านคน ยันกระจายทั่วถึง พร้อมแจงเด็กชาย 12 ปี เสียชีวิตไม่เกี่ยวกับวัคซีน ส่วนเหตุยอดฉีดวัคซีนพุ่ง 2.2 ล้านโดสในวันเดียว ชี้ข้อมูลตกหล่น-เคลียร์ฐานข้อมูลให้ถูกต้อง
------------------------------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2564 นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงรายงานสถานการณ์การฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ว่า วันนี้เป็นวันแรกของปีงบประมาณ 2565 ตัวเลขการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในระบบแดชบอร์ด (Dashboard) จึงมีการปรับฐานข้อมูล เนื่องจากช่วงปลายเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีการเข้าถึงวัคซีนในชุมชนมากขึ้น มีการระดมฉีดวัคซีนในวันที่ 24 ก.ย. ให้ได้เกิน 1 ล้านโดส เนื่องในวันมหิดล ตัวเลขที่ตัดในวันนั้น เวลา 20.00 น. ได้ 1.3 ล้านโดส โดยเป็นการระดมฉีดในทุกภาคส่วน ทั้งการระดมฉีดในพื้นที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และในชุมชน ซึ่งอาจมีข้อมูลตกหล่น จึงมีการปรับฐานข้อมูล และตรวจสอบข้อมูลให้สมบูรณ์ให้เรียบร้อย
สรุปการฉีดวัคซีนโควิด-19 เฉพาะวันที่ 30 ก.ย. 2564 จำนวน 588,205 โดส ส่วนข้อมูลที่ปรับฐานตกหล่นเพิ่มอีก 1,700,523 โดส ทำให้นำ 2 ส่วนนี้มารวมกัน และรายงานรวมเป็นยอดของวันนี้ คือ 2,288,728 โดส
“อย่างไรก็ตาม ฉีดสะสมแล้ว 53.7 ล้านโดส ครอบคลุมเข็มที่ 1 จำนวน 32 ล้านโดส คิดเป็น 45.2% ของประชากร ซึ่งเป้าหมายเดือน ก.ย. ที่เราอยากฉีดทุกกลุ่มประชากรให้ได้ 50 ล้านโดส ก็อาจไม่เป็นตามเป้า แต่เชื่อว่าปริมาณวัคซีนที่มีและศักยภาพการฉีด ในเดือน ต.ค.นี้ เราจะถึงเป้าหมายได้ ขณะที่เข็มที่ 2 จำนวน 19.8 ล้านโดส คิดเป็น 27.5%”
นพ.เฉวตสรร กล่าวถึงข้อมูลการวัคซีนโควิด-19 รายพื้นที่ พบว่า จังหวัดสีแดงเข้ม 29 จังหวัด ที่ได้รับจัดสรรวัคซีนมากในช่วงแรก เพื่อลดการเสียชีวิต ฉีดเข็ม 1 ฉีดแล้ว 60% เข็มที่ 2 อีกร้อยละ 33.5% ส่วนพื้นที่อื่น 48 จังหวัด เข็ม 1 ฉีดแล้ว ร้อยละ 31.9% ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ก็จะใกล้เคียงกันเรื่อยๆ ขณะที่ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ในจังหวัดสีแดงเข้ม ฉีดแล้ว ร้อยละ 67.2% แต่อยากให้ถึง ร้อยละ 70% คาดว่าเดือนตุลาคมนี้ จะได้ตามเป้า ส่วนอีก 48 จังหวัด ฉีดแล้ว ร้อยละ 53.2%
ทั้งนี้ แผนการฉีดวัคซีนเดือน ต.ค. วางไว้ว่าทุกจังหวัดต้องฉีดคนไทยและต่างชาติให้ได้จังหวัดละ 50% ส่วนอำเภอที่จะเน้นให้ครอบคลุมมากขึ้น 70% และมีต้นแบบโควิด ฟรี แอเรีย (COVID Free Area) ให้ครอบคลุมอย่างน้อย 1 พื้นที่ ซึ่งต้องฉีดให้ครอบคลุมถึง 80%
นักเรียนใน กทม. ยื่นขอรับวัคซีน 3.5 แสนคน คิดเป็น 85%
นพ.เฉวตสรร กล่าวถึงความพร้อมของการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับนักเรียนที่จะเริ่มวันที่ 4 ต.ค.นี้ ว่า มีการรวบรวมรายชื่อนักเรียน ตามที่ผู้ปกครองแจ้งความจำนงเข้ามาที่โรงเรียน และรวบรวมส่งให้หน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) หรือกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ส่งตัวเลขมา เพราะฉะนั้น เดิมเตรียมเป้าหมายไว้ 4.6 ล้านราย เมื่อรวบรวมมาจากทั่วประเทศ นักเรียนในฐานข้อมูลปรับมาเป็น 5,048,000 ราย แสดงความจำนงเข้ามา 3,618,000 กว่าราย คิดเป็นประมาณ 71% โดย จ.ภูเก็ต ส่งมีนักเรียน 33,330 คน ส่งยอดความต้องการครบ 100% อาจเพราะเป็นพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ (Sandbox) ส่วน กทม. มีนักเรียนมากสุด 4.2 แสนคน แจ้งเข้ามา 3.5 แสนราย คิดเป็น ร้อยละ 85% ส่วนพื้นที่ถึงหลักแสนราย เช่น นครศรีธรรมราช นักเรียน 1.03 แสนราย แจ้งเข้ามา 8.8 หมื่นราย คิดเป็น ร้อยละ 85% นครราชสีมา มีนักเรียน 176,000 ราย แจ้งเข้ามา 144,000 ราย คิดเป็น ร้อยละ 81% เป็นต้น
นพ.เฉวตสรร กล่าวถึงการจัดสรรวัคซีนให้แต่ละจังหวัด เนื่องจากล็อตแรกมี 2 ล้านโดส แต่ความต้องการมีมากกว่า คือ 3.6 ล้านคนว่า จะมีการจัดส่งให้ทุกจังหวัด ไม่ได้แบ่งแยกพื้นที่สีว่าต้องให้พื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัดก่อน โดยให้วัคซีนไปตามจำนวนที่เหมาะสม ส่วนจะให้สัดส่วนแต่ละจังหวัดเท่าไรนั้น อาจจะประมาณจังหวัดละ 50% แต่ต้องดูเรื่องความพร้อมของแต่ละจังหวัดด้วย อย่างบางพื้นที่อาจยังไม่พร้อม จึงไม่ได้เริ่มฉีดในวันที่ 4 ต.ค.นี้ ก็อาจรับสัดส่วนที่น้อยก่อน เนื่องจากแต่ละพื้นที่คงไม่ได้วัคซีนครบจบในครั้งเดียว แต่จะกระจายให้ครบทั่วถึงในเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งช่วงเดือน ต.ค. จะมีวัคซีนอีก 8 ล้านโดส
“คิดว่ามีจังหวะเวลาในการบริหารจัดการได้ แต่เรื่องการฉีดอาจไม่สามารถจบได้ในสัปดาห์เดียว อาจจะมีสัปดาห์ที่ 2 หรือ สัปดาห์ที่ 3 ที่มีการเก็บตกคนเปลี่ยนใจ ขอฉีดเพิ่มภายหลัง ซึ่งเราก็จะไม่ให้เสียสิทธิ หากแจ้งความจำนงเข้ามาก็สามารถฉีดได้ ถ้าเริ่มฉีดในสัปดาห์แรก เข็มที่ 2 น่าจะมาไม่เกินสัปดาห์ที่ 4 แต่ในหลายพื้นที่ นักเรียนอาจจะฉีดเข็มแรกไม่เสร็จสิ้นในสัปดาห์เดียว อาจมีสัปดาห์ที่ 1 และสัปดาห์ที่ 2 จะมีการเหลื่อมเวลากันไป จะมีการพิจารณารายละเอียดพื้นที่ จะทำอย่างไรไม่ให้กระทบในการเปิดเรียน ไม่อยากให้เป็นเงื่อนไขตรงนี้เข้าไป กิจกรรมการเรียนจะได้ต่อเนื่อง โดยไม่มีการขีดระยะเวลาสิ้นสุดการฉีดวัคซีน เพราะบางครั้งการแจ้งความต้องการอาจจะมีการแก้ไขหรือมีคนเพิ่มเติมภายหลัง โดยหลักๆ น่าจะฉีดในเดือน ต.ค.นี้ แต่ใครที่ตกหล่นด้วยเหตุใดก็ตาม ก็ยังฉีดต่อเนื่องไปได้ ไม่ต้องกลัวเสียสิทธิ”
ยังไม่มีการฉีดวัคซีนให้เด็กประถม
นพ.เฉวตสรร กล่าวอีกว่า ส่วนข้อสรุปของคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งเป็นคณะกรรมการระดับชาติระบุว่า การฉีดไฟเซอร์ในเด็ก 12 ปีขึ้นไป ให้ฉีด 2 เข็ม ห่าง 3-4 สัปดาห์ แต่ระหว่างนี้มีข้อมูลวิชาการการเรื่องการลดจำนวนเข็ม การแยกความเสี่ยงระหว่างชายหญิง ต้องเรียนว่า ข้อแนะนำที่มีอยู่เป็นข้อปฏิบัติของสหรัฐอเมริกาอยู่แล้ว มีความปลอดภัยสูง ถ้ามีข้อมูลวิชาการเพิ่มเติมเข้ามา คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันก็จะนำมาพิจารณาและให้ข้อเสนอแนะ ฉะนั้น การฉีดเมื่อมีตารางนัดหมายไปฉีดเข็มแรกไว้ก่อน หากมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร ก็ยังมีจังหวะเวลาที่จะประกาศและดูแลกันได้ ไม่ต้องห่วงกังวล อย่างเรื่องอาการไม่พึงประสงค์ ก็มีการติดตามจะเอาเข้ามาประกอบด้วย คาดว่าทันก่อนการฉีดเข็มที่ 2 นอกจากนี้ ย้ำว่าการฉีดไม่เสียค่าใช้จ่าย หากมีที่ใดแจ้งว่าเสียเงิน ขอให้แจ้งเข้ามาเพื่อตรวจสอบ
“ส่วนกลุ่มเด็กประถมที่ยังไม่อยู่ในเกณฑ์การรับวัคซีน คือ อายุต่ำกว่า 12 ปี ประเทศโดยส่วนใหญ่ยังไม่ขยายการฉีดวัคซีน อย่างอเมริกา เขียนชัดเจนว่าฉีดอายุ 12 ปีขึ้นไป หากต่ำกว่านี้ใช้มาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง เพราะฉะนั้น ความก้าวหน้าทางวิชาการตรงนี้ ให้รอติดตามต่อไปต่อไป และไม่ต้องกังวล เพราะการมีมาตรการที่ดี จะทำให้กิจกรรมการเรียนการสอนเกิดขึ้นได้ ในรายละเอียดแต่ละพื้นที่จะมีการหารือทั้ง สธ. ศธ. และ อว. จะตรวจสอบความพร้อมในทุกๆ พื้นที่”
แจงเด็กชายเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว ไม่เกี่ยวกับวัคซีน
นพ.เฉวตสรร กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในกลุ่มเด็กว่า การฉีดวัคซีนจะมีระบบติดตามหลังการฉีด โดย สธ.ร่วมกับเครือข่ายโรงพยาบาล ทำหนังสือแจงทุกหน่วยบริการ พร้อมเน้นย้ำว่า หลังการฉีดวัคซีน แล้วพบผู้มีอาการผิดปกติ ต้องดูแลรักษาเฝ้าระวัง ทั้งนี้ วัคซีนฉีดในกลุ่มเด็กอายุ 12-17 ปี เป็นชนิด mRNA อาจทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบได้ แม้อยู่ในอัตราต่ำ แต่ต้องเตรียมการไว้อย่างดี มีการนั่งสังเกตอาการหลังฉีด 30 นาที โดยอาการสังเกตที่ต้องติดตาม 30 วันหลังฉีด คือ แน่นหน้าอก หอบเหนื่อยง่าย ใจสั่น หมดสติ เป็นลม อ่อนเพลีย และภายใน 7 วันหลังฉีด ยังไม่แนะนำให้ออกกำลังหนัก เพราะอาจรู้สึกเหนื่อย แต่แยกไม่ออกว่าเกิดจากวัคซีนหรือไม่
“เมื่อเด็กฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว ขอให้ผู้ปกครองและนักเรียนเฝ้าสังเกตอาการ ซึ่งกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบพบไม่สูง เป็นสิ่งที่ดูแลได้ หากพบให้ไปแจ้งโรงพยาบาล จะมีการตรวจสอบและให้การดูแลอย่างถูกต้อง เพราะแม้จะมีอาการเหล่านี้ แต่อาจจะไม่ได้เป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ อาจจะเป็นจากสาเหตุอย่างอื่นได้”
นพ.เฉวตสรร กล่าวถึงกรณีการเสียชีวิตของเด็กชายหลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ว่า โดยสรุปแล้ว สาเหตุไม่ได้เกิดขึ้นจากวัคซีน กรณีนี้เกิดที่ กทม. เด็กชาย 12 ปี มีโรคประจำตัวป่วยเป็นเบาหวานแต่กำเนิด ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน สามารถฉีดยาเบาหวานอินซูลิน 3 เวลาได้เอง เป็นผู้ป่วยต่อเนื่องของ โรงพยาบาลรามาธิบดี รับวัคซีนไฟเซอร์เข็มแรก เมื่อวันที่ 14 ก.ค. โดยเริ่มมีอาการผิกปกติ เมื่อวันที่ 12 ส.ค. มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน รับประทานอาหารได้น้อย แต่ไม่มีอาการมือสั่น ใจสั่น ไม่มีไข้ ไม่เจ็บหน้าอก ไม่เหนื่อยง่าย ซึ่งระยะห่างจากการฉีดวัคซีนมา 3 สัปดาห์ จนเช้าวันที่ 13 ส.ค. นอนไม่รู้สึกตัว จึงนำส่งโรงพยาบาล และเสียชีวิต ต่อมาวันที่ 14 ส.ค. จากการตรวจชิ้นเนื้อหาสาเหตุการเสียชีวิต ไม่พบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่พบว่ามีระดับสารน้ำในลูกตาสูงมาก สันนิษฐานสาเหตุการตาย คือภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวานเรื้อรัง จึงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับวัคซีน
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage