'อังกฤษ'เผยรายงานผู้ป่วยเรื้อรัง-ดาวน์ซินโดรม กลุ่มชาติพันธุ์จาก'อินเดีย-ปากีสถาน' มีแนวโน้มเสียชีวิตจากโควิดมากกว่า-ด้าน 'CDC' เผยข้อมูลวัคซีนโมเดอร์นา มีแนวโน้มป้องกันรักษาใน รพ.-เสียชีวิตดีกว่าไฟเซอร์
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานสถานการณ์อันเกี่ยวข้องกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือโคโรน่าไวรัสว่าที่ประเทศอังกฤษนั้นได้มีการเปิดเผยผลการศึกษาระบุว่าผู้ที่มีอาการป่วยเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการป่วยดาวน์ซินโดรม ผู้ที่สูงอายุ รวมไปถึงผู้ที่มีพื้นเพมาจากประเทศปากีสถาน,และประเทศอินเดียนั้นจะมีแนวโน้มที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรืออาจจะเสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ได้มากกว่า แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะได้รับวัคซีนไปแล้ว
โดยทีมศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดได้มีการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเอดินเบะระและมหาวิทยาลัยนอตติงแฮมพัฒนาระบบคำนวณที่จะวัดถึงผู้ที่จะมีโอกาสเสียชีวิตจากอาการป่วยร้ายแรงแม้ว่าจะมีการฉีดวัคซีนมาแล้วก็ตาม
ซึ่งจากการตรวจสอบบันทึกของโรงพยาบาลมานั้นพบซึ่งมีประชาชนอย่างน้อย 6.9 ล้านคนที่ฉีดวัคซีน โดย 5.2 ล้านคนนั้นเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนมาแล้ว 2 โดส และผลสำรวจก็ได้พบว่าวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ให้ภูมิคุ้มกันแก่ทุกคนในระดับเดียวกันหมด โดยกลุ่มที่มีภาวะดาวน์ซินโดรมนั้นพบว่าจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ถึง 13 เท่าจากไวรัสโควิด-19 เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประชากรที่เหลือ ขณะผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมและพาร์กินสันนั้นพบว่ามีความเสี่ยงจะเสียชีวิตได้ถึง 2 เท่า
โดยนายอาซิซ ชีค ศาสตราจารย์ผู้ที่ดำเนินการวิจัยและยังเป็นผู้อำนวยการสถาบันอัสเชอร์ มหาวิทยาลัยเอดินเบะระกล่าวว่าความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าการสัมผัสกับไวรัสที่มากกว่า เพราะนอกเหนือจากผู้สูงอายุแล้วก็พบว่าผู้ชายและผู้ที่มีพื้นหลังมาจากประเทศอินเดีย ประเทศเทศปากีสถาน ผู้ที่มีปัญหาด้านภูมิคุ้มกัน,ผู้ที่เคยมีประวัติว่าเคยถูกกีดกัน กดขี่,และผู้ที่อยู่ในสถานพยาบาลก็เผชิญกับความเสี่ยงที่มากกว่าเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน
ซึ่งจากเหตุผลว่าทำไมกลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะถึงได้มีความเสี่ยงว่าจะติดเชื้อโควิดได้ง่ายกว่านั้นอาจจะเป็นเพราะว่าปัจจัยพื้นฐานทางสังคมที่มีความแตกต่างกันก็เป็นไปได้ โดยนายชีคกล่าวว่า “ผมคาดเดาว่า กลุ่มย่อยทั้ง 2 กลุ่ม คือชาวอินเดียและปากีสถานนั้นมีขนาดของผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันขนาดใหญ่ ดังนั้นก็อาจจะมีการแพร่เชื้อกันในบ้านได้ง่ายกว่า”
ทั้งนี้ผู้ที่ดำเนินการวิจัยดังกล่าวยังได้ให้ความเห็นอีกว่ารายงานของพวกเขานั้นอาจจะเป็นประโยชน์สำคัญ โดยเฉพาะกับกรณีว่าต้องมีการฉีดวัคซีนโดสที่ 3 เกิดขึ้น นั้นควรจะต้องฉีดให้กับกลุ่มไหนก่อน
ส่วนสถานการณ์อื่นๆนั้นมีรายงานว่าศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐ เปิดเผยผลการศึกษาใหม่ ระบุว่า วัคซีนโควิด-19 ของบริษัทโมเดอร์นามีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ขณะที่วัคซีนของไฟเซอร์ และของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) มีประสิทธิภาพรองลงมาตามลำดับในการป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิดต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
CDC ระบุว่า ประสิทธิภาพดังกล่าวของวัคซีนโมเดอร์นาอยู่ที่ระดับ 93%, ของไฟเซอร์/ไบออนเทคอยู่ที่ 88% และของ J&J อยู่ที่ 71%
"แม้ข้อมูลจากการศึกษาบ่งชี้ว่า วัคซีนมีระดับการป้องกันที่แตกต่างกัน แต่วัคซีนทั้งหมดก็สามารถป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล" รายงานของ CDC ระบุ
การศึกษาดังกล่าวรวบรวมข้อมูลจากผู้ใหญ่ 3,600 คนที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลราว 20 รัฐของสหรัฐระหว่างเดือนมี.ค. - ส.ค.ปีนี้
นักวิจัยระบุว่า ประสิทธิภาพวัคซีนโควิดของไฟเซอร์ จะเริ่มลดลงในอัตราที่มากกว่าของโมเดอร์นา และเริ่มลดลงนับตั้งแต่เดือนที่ 4 หลังจากฉีดวัคซีนโดสที่ 2 แล้ว โดยอยู่ที่ระดับ 77%
CDC อธิบายว่า สาเหตุของประสิทธิภาพวัคซีนโควิด-19 ที่ลดลงมากกว่านั้นอาจจะมาจากระยะเวลาระหว่างการฉีดเข็มแรกกับเข็มที่สอง โดยของโมเดอร์นาใช้เวลาห่างกัน 4 สัปดาห์ และไฟเซอร์ใช้เวลาห่างกัน 3 สัปดาห์ ซึ่งอาจทำให้ระดับภูมิคุ้มกันจากวัคซีนโมเดอร์นาสูงกว่าของไฟเซอร์
เรียบเรียงจาก:https://indianexpress.com/article/world/uk-study-finds-people-with-chronic-conditions-men-and-indians-more-susceptible-to-covid-even-after-vaccine-7518625/,https://www.nytimes.com/live/2021/09/17/world/covid-delta-variant-vaccine
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/