สธ.เผยสัปดาห์หน้า เริ่มฉีดไฟเซอร์ให้กล่มเสี่ยง 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ย้ำต้องฉีดตามกลุ่มเป้าหมาย แจงทุก รพ.สำรวจข้อมูลไว้แล้ว เชื่อระวังมากไม่ให้เกิดประเด็นวีไอพี ด้านรองโฆษกรัฐบาลแจงกรณี 'อนุทิน' มอบวัคซีนที่นครสวรรค์ โต้ไม่ได้เคลมผลงาน เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน
------------------------------------
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ส.ค.2564 นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงประเด็นการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ล็อต 1.5 ล้านโดสทีได้รบริจาคจากสหรัฐอเมริกา ว่า สำหรับการกระจายวัคซีนไฟเซอร์ในรอบแรก ตั้งแต่วันที่ 4-6 ส.ค.ที่ผ่านมา ดำเนินการฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า กลุ่มเป้าหมายแรกในการฉีดไปแล้ว 5.7 หมื่นโดส โดยตามแผนจะต้องส่งประมาณวันที่ 7-8 ส.ค. และเริ่มฉีดวันที่ 9 ส.ค. แต่ด้วยความจำเป็น จึงได้มีการส่งและฉีดเร็วกว่าแผนกำหนดประมาณ 5 วัน
นพ.โสภณ กล่าวด้วยว่า การฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มแรก และใน 3 สัปดาห์ต่อมา จะต้องฉีดเข็มที่ 2 แต่ยังมีกลุ่มที่เป็นบุคลากรด่านหน้าที่ยังไม่ได้ฉีด เพิ่งจบใหม่ ก็จะได้ส่วนนี้ สำหรับบุคลากรด่านหน้าส่วนใหญ่จะฉีดวัคซีนไปแล้ว 2 เข็ม และจะได้รับการกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยไฟเซอร์ ส่วนกลุ่มที่ฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ด้วยแอสตร้าเซนเนก้าไปแล้ว จากการสำรวจพบประมาณกว่า 20% มีที่ต้องการฉีดไฟเซอร์ก็ประมาณกว่า 70% จึงเป็นที่มาว่าต้องส่งวัคซีนไปให้โรงพยาบาล 50-70%
นพ.โสภณ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร สธ.ทุกคนยืนยันว่า วัคซีนจะกระจายไปครบทุกคนที่เป็นไปตามกำหนด โดยจะส่งเป็นล็อตๆ เพราะถ้าเราส่งไปหมด 7 แสน จะเกิดบางที่เกิน บางที่ขาด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งตัวเลขจะใกล้เคียงกับรพ.ส่งมา เพราะบางทีจะมีบางกลุ่มเพิ่งจบใหม่ บางที่มีการตั้งรพ.สนามเพิ่ม หรือมีการเพิ่มบุคลากรเข้ามาปฏิบัติงานด่านหน้า เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 4-7 ส.ค. ฉีดแล้ว 5.7 หมื่นคน เพิ่มประมาณ 1.1 หมื่นคน
นพ.โสภณ กล่าวถึงการกระจายฉีดวัคซีนว่า สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 12 ปีขึ้นไป จะเป็นกลุ่มที่ได้รับการฉีดต่อจากบุคลากรด่านหน้า โดยจะส่งวัคซีนไฟเซอร์ภายในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ และจะเริ่มดำเนินการฉีดให้ได้กลางสัปดาห์หน้า
นพ.โสภณ ตอบคำถามในส่วนของการจัดส่งวัคซีนล็อตผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่ทาง สธ.จะจัดส่งให้วัคซีนให้โรงพยาบาล จะมีระบบติดตามวัคซีนอย่างไร เพื่อลดปัญหาฉีดนอกกลุ่ม จนมีกระแสข่าววีไอพี ว่า ทุกโรงพยาบาลระวังมาก เพราะต้องใช้เกณฑ์อายุ และต้องฉีดเป็นเข็มที่ 1 ส่วนหญิงตั้งครรภ์ก็ต้องเข็มที่ 1 เช่นเดียวกัน
นพ.โสภณ กล่าวถึงการกระจายวัคซีนว่า จะส่งไปโรงพยาบาลจังหวัด เพื่อสามารถจัดบริการอย่างมีคุณภาพ โดยล็อตนี้จัดสรรให้กับจังหวัดสีแดงเข้ม 13 จังหวัดก่อน และให้กับกลุ่มเสี่ยง ทั้งสูงอายุ 60 ปี ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง อายุ 12 ปี และหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ ที่สำคัญต้องไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน
ด้าน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่โซเชียลมีเดียได้มีการนำภาพซึ่งระบุว่ามาจากงานภารกิจนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีแล ะรมว.สาธารณสุข ลงพื้นที่เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2564 เพื่อตรวจเยี่ยมการดำเนินการควบคุมการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโควิดที่โรงพยาบาลท่าตะโก อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มาโพสต์พร้อมระบุข้อความว่ารองนายกรัฐมนตรีเคลมว่าวัคซีนไฟเซอร์เป็นผลงานของตนเองนั้น เป็นการแสดงข้อความที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงและทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด
สำหรับข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ นายอนุทิน ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจการทำงานแก่เจ้าหน้าที่ในจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมกับการลงพื้นที่ก็ได้มีการตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ล็อตที่ได้รับบริจาคจากประเทศสหรัฐฯ ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัครสาธารณสุขและบุคลากรด่านหน้าในพื้นที่ด้วย ส่วนการจัดเตรียมป้าย หรือข้อความต่างๆ ก็จัดโดยเจ้าหน้าที่ในจังหวัด ซึ่งจากการตรวจสอบก็ไม่พบข้อความที่มีการส่งต่อข้อความที่มีการส่งต่อทางโซเชียลมีเดียแต่อย่างใด
“ในการลงพื้นที่จังหวัดหวัดนครสวรรค์ นอกจากท่านรองนายกฯอนุทินแล้ว ยังมีท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมควบคุมโรคร่วมเดินทางด้วย ซึ่งภารกิจของการลงพื้นที่ก็คือการไปตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ ติดตามการดำเนินงานการควบคุมและแพร่ระบาดของโรคโควิด19 จากการสอบถามในคณะผู้ลงพื้นที่ ก็ไม่มีใครเห็นข้อความใดที่มีการส่งต่อในโซเชียลมีเดีย ก็ยังสงสัยเช่นกันว่าข้อความนั้นอยู่ส่วนใดของงาน” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล หากเป็นการวิจารณ์บนข้อมูลและเป็นความจริง และเพื่อเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีขึ้น เป็นสิ่งที่ประชาชนทุกคนทำได้อยู่แล้ว แต่ขอความร่วมมืออย่าสร้างและส่งต่อข้อมูลที่ก่อความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะในประเด็นที่จะกระทบต่อขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ ที่เป็นด่านหน้าปฏิบัติงานอย่างหนัก โดยเป้าหมายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเวลานี้คือการสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage