ปปง.สั่งอายัดทรัพย์เจ้าของ รร.กวดวิชา อ้างติวเด็กสอบเข้า 2 โรงเรียนดัง จ.ชลบุรี 100% ผู้ปกครองหลงเชื่อยอมจ่าย 130,000-250,000 บาท /ราย เสียหาย เกือบ 20 ล. หลังแจ้งความ พนักงานสอบสวน-อัยการสั่งฟ้อง
....................................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สํานักงาน ปปง.) มีคําสั่งคณะกรรมการธุรกรรม ที่ ย. 110 /2564 ลงวันที่ 6 ก.ค.2564 เรื่องยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดไว้ชั่วคราว รายนายมณฑล นิ่มยี่สุ่น กับพวก ได้แก่ เงินฝาก 2 บัญชีรวม ทั้งสิ้น 4,011,792.36 บาท เนื่องจาก มีพฤติการณ์กระทําความผิดคดีฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาหรือความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กล่าวคือ
ระหว่างปี 2559 ถึงวันที่ 22 พ.ค. 2561 นายมณฑล กับพวกร่วมกันเปิดโรงเรียนกวดวิชาบ้านส้มกับฟ้า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาตและได้มีการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน โดยจัดให้มีการโฆษณาด้วยการติดป้ายขนาดใหญ่ในเขตพื้นที่อําเภอเมืองชลบุรี อําเภอศรีราชา และมีการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก ชื่อผู้ใช้ “โรงเรียนกวดวิชาบ้านส้มกับฟ้า” ซึ่งทําให้ประชาชนทั่วไปทราบว่าเป็นโรงเรียนกวดวิชาที่มีการเรียนการสอนโดยศิษย์เก่าชลชายเพื่อสอบเข้าโรงเรียนชลราษฎรอํารุงและโรงเรียนชลกันยานุกูลได้ 100 เปอร์เซ็นต์ หากสอบเข้าโรงเรียนดังกล่าวไม่ได้ จะคืนเงินค่าเรียนทั้งหมด ทั้งนี้ ในการทําสัญญาจ้างสอนพิเศษ นายมณฑล นิ่มยี่สุ่น ได้แสดงตนเป็นผู้อื่นโดยกล่าวอ้างและเขียนชื่อในเอกสารสัญญาว่าตนเองชื่อ นายพรเทพ มโนทัย โดยมีเจตนาให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าตนมีชื่อดังกล่าว และโดยการหลอกลวงดังกล่าวนั้น เป็นเหตุทําให้ผู้เสียหายจํานวนมากหลงเชื่อ จึงได้นําบุตรหลานมาเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนดังกล่าว และได้ส่งมอบเงินค่าเรียนไปรายละ ประมาณ 130,000 – 250,000 บาท ให้แก่นายมณฑล นิ่มยี่สุ่น กับพวก รวมมูลค่าความเสียหายเป็นเงิน 19,925,000 บาท เมื่อถึงวันประกาศผลสอบคัดเลือกของโรงเรียนชลราษฎรอํารุงและโรงเรียนชลกันยานุกูล ปรากฏว่าบุตรหลานของผู้เสียหายไม่สามารถสอบเข้าเรียนได้ตามที่กล่าวอ้าง ผู้เสียหายที่หลงเชื่อจึงติดตาม ขอรับเงินค่าเรียนคืน แต่กลับไม่ได้รับเงินดังกล่าวแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษดําเนินคดีกับ นายมณฑล นิ่มยี่สุ่น กับพวก ต่อมาพนักงานสอบสวน ได้สรุปสํานวนการสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องในฐานความผิดดังกล่าว และพนักงานอัยการได้มีคําสั่งฟ้องดังกล่าว
ทั้งนี้คำสั่งอายัดทรัพย์ ระบุว่า ด้วยสํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สํานักงาน ปปง.) ได้รับการประสานจาก สถานีตํารวจภูธรเมืองชลบุรี กรณีให้ตรวจสอบบัญชีผู้ต้องหาในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดง ตนเป็นคนอื่น ตามเลขที่รับ 33 ของศูนย์ปราบปรามการฉ้อโกงและการหลอกลวงโดยขบวนการแชร์ลูกโซ่ สํานักงาน ปปง. รายนายมณฑล นิ่มยี่สุ่น กับพวก ซึ่งเป็นกรณีมีพฤติการณ์แห่งการกระทําความผิดเกี่ยวกับ การฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาหรือความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกง ประชาชน กล่าวคือ ระหว่างปี พ.ศ. 2559 ถึงวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 นายมณฑล นิ่มยี่สุ่น กับพวก ได้ร่วมกันเปิดโรงเรียนกวดวิชาบ้านส้มกับฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้อนุญาตและได้มีการแสดงข้อความ อันเป็นเท็จและปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน โดยจัดให้มีการโฆษณาด้วยการติดป้ายขนาดใหญ่ ในเขตพื้นที่อําเภอเมืองชลบุรี อําเภอศรีราชา และมีการโฆษณาทางอินเทอร์เน็ต แอปพลิเคชันเฟซบุ๊ก ชื่อผู้ใช้ “โรงเรียนกวดวิชาบ้านส้มกับฟ้า” ซึ่งทําให้ประชาชนทั่วไปทราบว่าเป็นโรงเรียนกวดวิชาที่มีการเรียนการสอน โดยศิษย์เก่าชลชายเพื่อสอบเข้าโรงเรียนชลราษฎรอํารุงและโรงเรียนชลกันยานุกูลได้ 100 เปอร์เซ็นต์ หากสอบเข้าโรงเรียนดังกล่าวไม่ได้ จะคืนเงินค่าเรียนทั้งหมด ทั้งนี้ ในการทําสัญญาจ้างสอนพิเศษ นายมณฑล นิ่มยี่สุ่น ได้แสดงตนเป็นผู้อื่นโดยกล่าวอ้างและเขียนชื่อในเอกสารสัญญาว่าตนเองชื่อ นายพรเทพ มโนทัย โดยมีเจตนาให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าตนมีชื่อดังกล่าว และโดยการหลอกลวงดังกล่าวนั้น เป็นเหตุทําให้ผู้เสียหาย จํานวนมากหลงเชื่อ จึงได้นําบุตรหลานมาเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนดังกล่าว และได้ส่งมอบเงินค่าเรียนไปรายละ ประมาณ 130,000 – 250,000 บาท ให้แก่นายมณฑล นิ่มยี่สุ่น กับพวก รวมมูลค่าความเสียหายเป็นเงิน 19,925,000 บาท เมื่อถึงวันประกาศผลสอบคัดเลือกของโรงเรียนชลราษฎรอํารุงและโรงเรียนชลกันยานุกูล ปรากฏว่าบุตรหลานของผู้เสียหายไม่สามารถสอบเข้าเรียนได้ตามที่กล่าวอ้าง ผู้เสียหายที่หลงเชื่อจึงติดตาม ขอรับเงินค่าเรียนคืน แต่กลับไม่ได้รับเงินดังกล่าวแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษดําเนินคดีกับ นายมณฑล นิ่มยี่สุ่น ผู้ต้องหาที่ 1 นางอุบล เสนาะเสียง ผู้ต้องหาที่ 2 นางสาวจันทิพย์มา หรือพิชญาชนาณัฐ เหลืองตระกาลกูร ผู้ต้องหาที่ 3 และนางฐิติกาญจน์ ทองกุล ผู้ต้องหาที่ 4 ต่อพนักงานสอบสวนสถานี ตํารวจภูธรเมืองชลบุรี เป็นคดีอาญาที่ 1026/2561 ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฉ้อโกง ประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ร่วมกันจัดตั้งโรงเรียนนอกระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาพนักงานสอบสวน ได้สรุปสํานวนการสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้องในฐานความผิดดังกล่าว และพนักงานอัยการได้มีคําสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ 1-3 ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ร่วมกัน จัดตั้งโรงเรียนนอกระบบโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 มาตรา 371 มาตรา 342 (2) และมาตรา 343 พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 มาตรา 5 มาตรา 120 มาตรา 147 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 (1) และมีคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องเฉพาะรายนางฐิติกาญจน์ ทองกุล ผู้ต้องหาที่ 4 และจากการสืบสวนขยายผลพบว่า นายมณฑล นิ่มยี่สุ่น กับพวก มีพฤติการณ์ในการโอนเงินที่ได้จากการกระทําความผิดมูลฐานไปยังบัญชีเงินฝาก ธนาคารของบุคคลอื่น อันเป็นลักษณะของการกระทําเพื่อปกปิดหรืออําพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มา แหล่งที่ตั้ง การจําหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด อันเข้าลักษณะ เป็นความผิดมูลฐานตามมาตรา 3 (3) แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่านายมณฑล นิ่มยี่สุ่น กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด ดังกล่าว
ในการนี้ เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การฟอกเงินในการประชุมคณะกรรมการธุรกรรม ครั้งที่ 11/2563 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2563 ที่ประชุม มีมติมอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อดําเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ประกอบกับคําสั่งเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ลับ ที่ ม. 633/2563 ลงวันที่ 2 ธันวาคม 2563 เรื่อง มอบหมายพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด รายนายมณฑล นิ่มยี่สุ่น กับพวก พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดําเนินการตรวจสอบรายงาน การทําธุรกรรมหรือข้อมูลเกี่ยวกับการทําธุรกรรมของบุคคลดังกล่าวแล้ว ปรากฏหลักฐานเป็นที่เชื่อได้ว่า นายมณฑล นิ่มยี่สุ่น กับพวก มีพฤติการณ์แห่งการกระทําความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวล กฎหมายอาญาหรือความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือเป็นผู้ซึ่งเกี่ยวข้อง หรือเคยเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้กระทําความผิดมูลฐานหรือความผิดฐานฟอกเงินและจากการตรวจสอบข้อมูล การทําธุรกรรมหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด รวมทั้งจากการรวบรวมพยานหลักฐาน ปรากฏว่า บุคคลดังกล่าวได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด จํานวน 2 รายการ พร้อมดอกผล และเนื่องจาก ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดในคดีนี้ เป็นสังหาริมทรัพย์ประเภทเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร อันเป็น ทรัพย์สินที่สามารถโอน ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นได้โดยง่าย หากมิได้มีการออกคําสั่งให้อายัดทรัพย์สิน ดังกล่าวไว้ชั่วคราว เมื่อเจ้าของหรือผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีสิทธิในทรัพย์สินดําเนินการโอน จําหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าวไปเสีย และหากต่อมาศาลได้มีคําสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของ แผ่นดิน สํานักงาน ปปง. อาจไม่สามารถติดตามทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนมาได้ จึงเป็นกรณีที่มีเหตุอันควร เชื่อได้ว่านายมณฑล นิ่มยี่สุ่น กับพวก ได้ไปซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดและอาจมีการโอน จําหน่าย ยักย้าย ปกปิด หรือซ่อนเร้นทรัพย์สินดังกล่าว
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 34 (3) และมาตรา 48 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มติคณะกรรมการธุรกรรมในการประชุมครั้งที่ 7/2564 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 และระเบียบคณะกรรมการธุรกรรม ว่าด้วยการรับเรื่อง การตรวจสอบ การพิจารณาดําเนินการ และการควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2556 ข้อ 25 คณะกรรมการธุรกรรม จึงมีคําสั่งอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิดไว้ชั่วคราว จํานวน 2 รายการ พร้อมดอกผล ได้แก่
(1) เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัลพลาซา ชลบุรี ประเภทบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 039-1-22535-4 ชื่อบัญชี นางสาวจันทิพย์มา เหลืองตระกาลกูร ยอดเงินคงเหลือ 50,199.76 บาท (ห้าหมื่นหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าบาทเจ็ดสิบหกสตางค์) ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2564
(2) เงินในบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) สาขา เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 ประเภทบัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 404-9-59786-4 ชื่อบัญชี นางสาวธนวรรณ ราชตา ยอดเงินคงเหลือ 3,961,592.60 บาท (สามล้านเก้าแสนหกหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยเก้าสิบสองบาท หกสิบสตางค์) ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2564
รวมจํานวนทั้งสิ้นประมาณ 4,011,792.36 บาท (สี่ล้านหนึ่งหมื่นหนึ่งพันเจ็ดร้อย เก้าสิบสองบาทสามสิบหกสตางค์) มีกําหนดไม่เกิน 90 วัน (เก้าสิบวัน) นับตั้งแต่วันที่คณะกรรมการธุรกรรม มีมติ กล่าวคือ นับตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม 2564 ถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2564
ทั้งนี้ ให้รวมถึงเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการจําหน่าย จ่าย โอนด้วยประการใด ๆ ซึ่งทรัพย์สิน ดังกล่าวหรือสิทธิเรียกร้องหรือผลประโยชน์หรือดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินดังกล่าวด้วย
(อ่านคำสั่งฉบับเต็มที่นี่ https://www.amlo.go.th/amlo-intranet/images/CommandHo_2564/110-2564.pdf?fbclid=IwAR1VNxgnik4TjtJztzgHanjPdm25oLt8wmeEzKdVaVJMHhGebQjYElrXVwY)
หมายเหตุ : ภาพประกอบจับกุมตัวนายมณฑล นิ่มยี่สุ่น จากhttps://www.thairath.co.th
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage