ฟ้องซ้ำ! ศาลอาญาชี้อัยการไม่มีสิทธินำคดีมากล่าวหา ‘ศุภชัย ศรีศุภอักษร-พวก’ คดีฉ้อโกงประชาชน สมัยนั่ง ปธ.สหกรณ์คลองจั่นฯ เหตุศาลเคยมีคำพิพากษายกฟ้องแล้ว
..................................................................................
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2564 ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอเรนซ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.3339/2559 พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด (ผู้เสียหาย) โจทก์ร่วม ยื่นฟ้องนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด กับพวกรวม 12 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกัน ฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง, ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม กรณีกล่าวหาว่า ระหว่างเดือน ม.ค. 2551-ธ.ค.2555 พวกจำเลยร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นหรือประชาชน ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จฯ และร่วมกันโดยเจตนาทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตนเองและผู้อื่น โดยจำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนเห็นว่า นายศุภชัย จำเลยที่ 1 ในคดีนี้ เคยถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำ อ.1260/2561 และ อ.235/2562 ของศาลอาญา ในความผิดฉ้อโกงประชาชนเช่นเดียวกันกับคดีนี้ โดยโจทก์บรรยายฟ้องเหมือนกันว่า สหกรณ์ฯมีนายศุภชัยในฐานะประธานกรรมการดำเนินงานฯ ร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ซึ่งเหตุกระทำความผิดเกิดขึ้นระหว่าง ปี 2552-2556 โดยคดีหมายเลขดำ อ.1260/2561 และ อ.235/2562 ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้วเมื่อปี 2563 ดังนั้นเมื่อฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 คดีนี้เป็นการอ้างกระทำความผิดในคราวเดียวกันกับ 2 คดีที่ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยที่1 ในคดีนี้เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ได้มีคำพิพากษาไปแล้ว โดยสิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับไปตาม ประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ม.39(4)
สำหรับจำเลยที่ 2-12 โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลย2-12 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง ศาลเห็นว่า ในส่วนของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่ได้เบิกความ ไม่ได้นำสืบถึงการกระทำของจำเลยที่ 2-12 ว่ากระทำการร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการฉ้อโกงประชาชนอย่างไร จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2-12 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฉ้อโกงประชาชนตามฟ้อง
ส่วนความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอมนั้น โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ,3 ,7 ,11 ว่า ร่วมกันเอาเงินของสหกรณ์ฯโจทก์ร่วม ไปประมาณหมื่นล้านบาทเศษ โดยใช้วิธีร่วมกันสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีธนาคารของสหกรณ์ฯแล้วนำไปเบิกโดยทุจริต และจำเลยทั้งสี่ จัดทำเอกสารทางการเงินเพื่อไม่ให้ผู้ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ฯตรวจพบพิรุธ ซึ่งกระทำผิดในช่วงเดือน ม.ค. 2552 - พ.ค. 2555 ศาลเห็นว่าจำเลยทั้ง 4 ที่ถูกฟ้องนั้นก็ได้ถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ระยะเวลาการกระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นระยะเวลาที่ทับซ้อนกัน และยังบรรยายฟ้องข้อเท็จจริงที่ซ้ำกัน เพียงแต่โจทก์อ้างฐานความผิดที่ฟ้องใหม่เป็นฐานร่วมกันลักทรัพย์เท่านั้น การกระทำความผิดคราวเดียวกันควรได้รับโทษเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อศาลได้วินิจฉัยพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสี่ ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนไปแล้ว จึงไม่วินิจฉัยความผิดดังกล่าวให้ซ้ำซ้อนกันอีก จึงพิพากษายกฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายศุภชัยนั้น นอกจากคดีนี้ยังถูกฟ้องดำเนินคดีอื่นความผิดยักยอกทรัพย์ สหกรณ์ฯ คลองจั่น และฉ้อโกงฯ หลายสำนวน โดยมีคดีที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด จำคุก 7 ปีนายศุภชัยแล้ว ในสำนวนคดียักยอกทรัพย์ โดยขณะนี้นายศุภชัย ถูกคุมขังในเรือนจำ
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก https://static.posttoday.com/
กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage