"...แต่วิธีจะเจาะเข้าประเทศง่ายที่สุดคือการไปเรียนหนังสือ เรียนสาขาที่เขาต้องการ เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรียนแล้วหางานทำ ส่งภาษี โดยเฉพาะที่เมกานี่เขาชอบคนที่พึ่งตัวเองได้ เขาไม่อยากรับคนเข้าประเทศง่ายๆ เพราะกลัวมาเกาะสวัสดิการเขากิน แต่ตอนนี้ทรัมป์ไปไบเดนมา นโยบายรับต่างชาติเปิดมากขึ้น ตอนทรัมป์เป็น ปธน ทำความลำบากให้คนอยากอยู่ที่นี่มากมาย ในที่สุดเห็นเด็กจบใหม่กลับเมืองไทยกันเกือบหมด หลุดอยู่ก็ไม่กี่คน ยิ่งพอโควิดมา งานไม่มีทำ มหาลัยไม่เปิด เด็กไทยเดินทางกลับบ้านกันเป็นแถว..."
.................................
พูดถึงประเทศที่รับคนต่างชาติมากๆ ประเทศเหล่านี้มักขาดแคลนคน เช่น สิงคโปร์ เยอรมัน สวีเดน ล้วนเป็นประเทศที่ขาดแคลนเด็ก คนส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่มีลูก เพราะการจะเลี้ยงลูกให้มีคุณภาพ มันลำบากกับชีวิตอิสระของเขา ขนาดรัฐให้สวัสดิการจูงใจเยอะแยะ คนยังไม่เอา โดยเฉพาะเยอรมันนีที่นับวันคนสายเลือดเยอรมันจะค่อยๆ หมดไป ประเทศพวกนี้จึงเปิดรับคนต่างชาติมาก (แต่เขาอาจเลือกไม่ต้อนรับทุกคน เขาจู้จี้รับแต่คนที่มีคุณสมบัติที่เขาอยากได้)
ส่วนคนไอ้กันชอบมีลูก (โดยเฉพาะคนระดับกลางลงไป คนขาวคนมืดคนแม็กมีลูกกันยั๊วเยี้ย) แต่เมกาก็ยังขาดแคลนแรงงานระดับล่าง ต้องเอาพวกเเม็ก พวกเมกาใต้มาทำงาน (แบบเดียวกับที่เรารับพม่า)
คนจะย้ายมาเมกาที่เห็นจะเป็นคน 4 กลุ่มหลักๆ คือ
1. แรงงานหนักเอาเบาสู้ เช่น ทำงานในฟาร์ม ทำความสะอาด (บางครั้งเข้ามาผิดกฎหมายก่อนจะถูกกฎหมาย แบบแรงงานต่างด้าวบ้านเรา)
2. พวกมีความสามารถในสาขาขาดแคลน เช่น หมอ พยาบาล วิศวกร มนุษย์คอม ฯลฯ (พวก Professional ทั้งหลาย อาจารย์สาขาขาดแคลนก็เช่นกัน)
3. คนรวย คนมีรายได้ประจำสูงๆ โดยไม่ต้องทำงาน หรือคนรวยที่จะเอาเงินมาลงทุน
4. คู่สมรสกับบุตรบุญธรรม วิธีที่ง่ายที่สุดคือหาแฟนแต่งงาน สาวไทยไปต่างแดนในฐานะสะใภ้เยอะแยะ หนุ่มๆ ไม่ค่อย (ถ้าหาคนแต่งงานด้วยไม่ได้อาจจ้างคนแต่งงานด้วย แต่ต้องระวังหน่อยมันผิดกฎหมาย)
แต่วิธีจะเจาะเข้าประเทศง่ายที่สุดคือการไปเรียนหนังสือ เรียนสาขาที่เขาต้องการ เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เรียนแล้วหางานทำ ส่งภาษี โดยเฉพาะที่เมกานี่เขาชอบคนที่พึ่งตัวเองได้ เขาไม่อยากรับคนเข้าประเทศง่ายๆ เพราะกลัวมาเกาะสวัสดิการเขากิน แต่ตอนนี้ทรัมป์ไปไบเดนมา นโยบายรับต่างชาติเปิดมากขึ้น ตอนทรัมป์เป็น ปธน ทำความลำบากให้คนอยากอยู่ที่นี่มากมาย ในที่สุดเห็นเด็กจบใหม่กลับเมืองไทยกันเกือบหมด หลุดอยู่ก็ไม่กี่คน ยิ่งพอโควิดมา งานไม่มีทำ มหาลัยไม่เปิด เด็กไทยเดินทางกลับบ้านกันเป็นแถว
เรื่องการเหยียดผิว... ตอนมาเมกาเมื่อ 40 ปีก่อน คนมืดถูกเหยียดผิวมาก เราคนไทยไม่ค่อย (พอดีอยู่เมืองที่ไม่ค่อยมีเอเซีย) ส่วนใหญ่มีแต่คนชอบเรา คนเอเซียมีภาพลักษณ์เป็นคนหัวดี ยิ่งคนไทยมารยาทดี คนขาวไม่รังเกียจเหมือนกับที่รังเกียจคนมืด กลับนิยมชมชอบ สนใจเป็นพิเศษ ยิ่งพวกหนุ่มๆ มารุมหัวกระไดไม่แห้ง (แต่ถ้าเราคนไทยไปไหนกันเป็นกลุ่ม เสียงเอ๊ะอ๊ะเจี๊ยวจ๊าวมารยาทไม่ดี เราก็บอกเขาว่าเรามาจาก “ไทหวัน” ไม่ใช่ “ไทยแลนด์” )
เวลาผ่านไป 40 ปี คนมืดได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่งงานปะปนกับคนขาวมากขึ้น (สมัยก่อนไม่ยอมรับปัจจุบันเป็นเรื่องปกติ) ตอนนี้คนมืดถือตัวเองเป็นคนไอ้กันแท้ แม้ตัวเองจะถูกเหยียดผิว แต่กลับดูถูกคนเอเซียว่าเป็นประชากรชั้น 2 โดยเฉพาะคนเอเซียพูดภาษาไม่ดีเท่าคนมืด (เหมือนพวกมาก่อนดูถูกพวกมาทีหลัง) ประกอบกับคนเอเซียอพยพเข้ามาเยอะ ร้อยพ่อพันแม่ เวียดนามเอย ฟิลิปินส์เอย คนมืดอัดคนขาวไม่ได้ก็มาใส่กับคนเอเซีย (คนขาวชั้นล่างก็อาจไม่ชอบคนเอเซียเพราะนายทรัมป์ใส่จีนไว้เยอะ)
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับตัวเราและสถานที่ที่เลือกไปอยู่ ส่วนตัวไม่เคยมีปัญหาถูกเหยียดผิว อาจเพราะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย หรืออาจเป็นเพราะเรามีบุคคลิก การแสดงออก และการพูดภาษาเป็นไอ้กัน (ยกเว้นบางกรณีที่พูดโทรศัพท์ พวกคนมืดอวดฉลาดมีเยอะ เราต้องกล้าเถียงกล้าด่า) คนที่นี่เขายอมรับเราดี แต่เราต้องเลือกไม่ไปในที่อโคจร ไม่ไปในที่ที่จะทำให้ตัวเองเผชิญกับประสบการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ (แต่ถ้าผ่านเข้ามาแบบผิวเผิน ก็ไม่เอามาเป็นอารมณ์)
เรามาเมกาตั้งแต่ 40 ปีที่แล้ว เรียนโท เอก ทำงานเป็นอาจารย์ จบโอไฮโอ (Midwest) ทำงานบอสตัน (East coast) เที่ยวทั่วแล้วก็ย้ายไปออเรกอน วอชิงตัน (West coast) ซื้อบ้านซื้อช่องปักหลักไม่ได้คิดกลับไทย แต่ครั้งหนึ่งกลับไปเยี่ยมบ้าน (ซึ่งไม่บ่อย) บังเอิญเจออนาคตสามีในป่า (ตอนนั้นสามีเป็นหัวหน้าอุทยานแห่งชาติปางสีดา) บุพเพอาละวาดทำให้มีอันต้องขายบ้านกลับไทยไปแต่งงานมีครอบครัว (ตอนนั้นอายุก็เกือบ 40 แล้ว)
จะว่าไป ณ ขณะนั้นเราก็พร้อมกลับไทย เพราะเริ่มเหงา ขนาดเราชอบอยู่คนเดียวเที่ยวคนเดียวก็ยังมีเวลาเหงา เพราะประเทศมันใหญ่ คนย้ายถิ่นบ่อย ตัวเราก็ย้าย เพื่อนสนิททุกคนก็ย้าย ต่างคนต่างไกลกัน (พอดีไม่ค่อยชอบผู้ชายไอ้กัน เราเลยเลือกที่จะไม่มีแฟน) จึงขอเตือนว่า การอยู่เมกาคนเดียว อยู่ไปนานๆ จะอยู่ไม่ได้เพราะเหงา ยิ่งเราอยู่ในเมืองที่ไม่มีคนไทย เราก็จะยิ่งว้าเหว่ (สมัยก่อนการสื่อสารไม่ดีแบบสมัยนี้) ดังนั้น จะอยู่เมกาให้มีความสุข เราควรมีครอบครัว
อย่างไรก็ตาม เมกานี่ดีอย่าง ถ้าได้ทำงานที่นี่ครบ 10 ปี ส่งภาษีประกันสังคมครบถ้วน เราจะได้สิทธิคนแก่ เมกาเลี้ยงคนแก่ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรักษาพยาบาล สวัสดิการจากเงินของเราที่รัฐหักไว้ หรือเงินประกันสังคม แต่ถ้าแก่มากๆ ขนาดช่วยตัวเองไม่ได้ เราต้องมีเงินเยอะๆ เพราะการจ้างคนดูแลนั้นแพงมาก (ปกติก็ต้องขายบ้านรักษาตัว) แต่การรักษาพยาบาลของเขาดี ยิ่งเรามีโรคประจำตัวแปลกๆ ที่เมืองไทยไม่คุ้นเคย การรักษาพยาบาลที่นี่จัดว่าชั้นหนึ่ง เพราะการวิจัยพัฒนาเรื่องการแพทย์เขาดีจริง แต่เราต้องระวังเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะอะไรๆ ก็แพง ดังนั้น ถ้าทำงานประจำที่นี่ได้จะดีมาก เรากลับมาครั้งนี้เราก็มาสอนหนังสือก่อนเกษียณตัวเอง (ที่เมกานี่ไม่มีอายุเกษียณ จะทำงานยัน 100 เขาก็ไม่ว่าถ้าทำไหว)
ถามว่าย้ายประเทศทำไม?
ชังชาติหรือ?
คำตอบคือ ไม่ใช่
เรารักเมืองไทย รักคนไทย (เราไม่พูดถึงพวกที่กุมอำนาจทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง) แต่ตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบัน เราชอบการเป็นอยู่ที่นี่ ชอบทำงานที่นี่ อยู่เมืองไทยบางครั้งมันมีข้อจำกัดแฝงที่เรามักคาดไม่ถึง เรารู้สึกว่าการเป็นอยู่ที่เมกาถูกจริตเรามากกว่าอยู่เมืองไทย
ดังนั้น เวลามีกระแสคนอยากย้ายถิ่น เราก็ได้แต่ให้ข้อมูล การย้ายถิ่นต้องรู้ทางหนีทีไล่ ถ้าไม่รู้อาจไปไม่รอด แต่ถ้ารู้ก็อาจไม่ยากเกินความสามารถ
ถึงย้ายถิ่นมาแล้ว ก็ใช่ว่าจะตายตัว ถ้าอยู่ไม่ไหว เราก็ย้ายกลับเมืองไทย ไม่มีอะไรซับซ้อน