"...มีใครเล่าหรือยังครับว่า หลายปีที่ผ่านมานโยบายของรัฐบาลสวีเดนไม่ได้สนับสนุนให้คนต่างชาติเข้าประเทศมากเลย มีโอกาสพิจารณาจากใบสมัคร ถ้ามีช่องโหว่ให้ไล่ ให้ส่งกลับแล้ว เขาจะไม่รอช้า คนที่เข้าไปขอลี้ภัยจำนวนมาก รอฟังการพิจารณาเป็นปี ๆ อยู่แบบไม่มีอนาคตและไม่เห็น “ความฝัน” ในชีวิต ที่ถูกจับตัวขึ้นเครื่องบินส่งกลับประเทศก็มีเยอะแล้ว แม้กระทั่งว่าหลายคนถูกส่งกลับไปประเทศที่เป็นเผด็จการ และตำรวจที่นั่นรอรับตัวเพื่อยัดเข้าคุก หรือเอาไปประหารชีวิต ก็เกิดเป็นข่าวเสมอ คนต่างชาติที่เข้าไปอยู่อาศัยแล้วเป็นปี ๆ หรือเกิน 10 ปี หลบ ๆ ซ่อน ๆ หนีตำรวจหัวซุกหัวซุนเป็นหลายหมื่นคนในประเทศเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยในประเทศ ทุกวันนี้มีแต่เพิ่มจำนวนขึ้น เกินแสนคนแล้วมั้งครับ..."
................................
Fb: Embassy of Sweden in Bangkok ทำในสิ่งที่คาดไม่ถึงในวันสองวันมานี้ ขณะที่การโหมกระแสว่าด้วยการย้ายหนีรัฐบาลคุณประยุทธ์ไปอยู่ต่างประเทศกำลังมาแรง
Fb ของสวีเดนก็ออกมาโฆษณาชวนเชื่อรัว ๆ ว่า “ท่านกำลังฝันจะย้ายประเทศอยู่หรือเปล่า เราขอนำเสนอเหตุผลว่าเหตุใดประเทศสวีเดน อาจเป็นจุดหมายปลายทางที่ดี”..บลา บลา บลา
ผมในฐานะของคนที่อยู่ในสวีเดนมาแล้ว 30 ปี ทุกวันนี้ลูกสาวที่เกิดที่นั่นก็ยังอาศัยอยู่ ไม่ได้ย้ายตามพ่อมาไทย ถามว่า ประเทศสวีเดนดีไหม เป็นสังคมที่น่าอยู่หรือเปล่า
ตอบได้ว่า เป็นประเทศที่น่าอยู่มาก ระบบรัฐสวัสดิการที่ดูแลคนตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ถือเป็นระบบที่ใช้ได้ผล และดีเป็นลำดับต้น ๆ ของโลกก็ว่าได้ เช่นเดียวกับ นอร์เวย์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ และไอซ์แลนด์ ที่สำคัญคือเป็นประเทศประชาธิปไตยสุด ๆ เท่าที่จะมีได้ประเทศหนึ่งในโลก
เมื่อ fb สวีเดนออกมาอย่างนั้น ภายใน 22 ชั่วโมงที่โพสต์นี้ออกไป ก็มีคนเข้าไปกดไลค์ถึง 5.1 หมื่นครั้ง มีคอมเมนต์เข้ามา 8.1 พันครั้ง และแชร์ออกไปถึง 3.6 หมื่นครั้ง นับว่า fb สวีเดนประสบความสำเร็จในการโฆษณาชวนเชื่อ ยิ่งดูจากคอมเมนต์ที่เข้ามาที่ส่วนใหญ่ชื่นชม และแน่นอนว่าจำนวนไม่น้อยวาดหวังจะเก็บกระเป๋าบินกันไปเลย
Fb สวีเดน พูดความจริงแค่ครึ่งเดียวและนี่คือสิ่งที่น่าสงสัยว่า ที่โพสต์มาอย่างนั้นในวันนี้ ต้องการอะไร เด็ก ๆ ที่ดูแล fb คิดอะไรกันอยู่หรือ
สวีเดนน่าอยู่ – ใช่
แต่การเข้าไปนั้น –ยากมาก
ถ้าไม่มีคุณสมบัติเข้ากับเงื่อนไขของการเข้าไปอยู่อาศัยแล้ว ไม่มีโอกาสได้เข้าประเทศครับ
ช่วยพิจารณาจุดนี้ด้วย
สวีเดนไม่ได้ให้ใครเข้าไปง่าย ๆ
การเข้าสวีเดนได้ หลักกว้าง ๆ ก็คือ เข้าไปอย่างนักท่องเที่ยว อันนี้ไม่ยาก ซื้อทัวร์ไปง่ายที่สุด แต่จะอยู่เกินกว่ากำหนดการท่องเที่ยวไม่ได้ หรือเข้าไปแบบนักเรียน แต่เรียนจบหรือเลิกเรียนเมื่อไหร่ ต้องกลับไทย ยกเว้นแต่ระหว่างเรียนมีแฟนหรือคู่สมรสที่อยู่ที่นั่น ก็สามารถขอทำเรื่องเปลี่ยนวีซ่าจากนักเรียนไปเป็นผู้อยู่อาศัยและทำงานได้ แต่กับการเข้าไปทำมากิน อยู่อาศัยอย่างถาวร อันนี้มีเงื่อนไขแล้ว
หลัก ๆ การขอไปอยู่ได้ก็คือ มีแฟนหรือคู่สมรสที่อยู่ที่นั่น หรือขอตามพ่อแม่ ผู้ปกครองเข้าไป (แต่อายุต้องไม่เกิน 21 ปี) หรือเป็นคนที่อยู่อาศัยอยู่แล้วในประเทศยุโรปเหนือ (มี 5 ประเทศ) หรืออยู่ในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (มี 27 ประเทศ) จึงย้ายไปได้ หรือมีองค์กร บริษัท ห้างร้านในสวีเดนรับรอง ทำเรื่องขอเราเข้าไปเป็นคนงาน
อีกอันที่มี คือ ขอเข้าไปเป็นผู้ลี้ภัย
นี่คือเงื่อนไขที่เป็นจริง ไม่ใช่ว่านึกจะบินก็บินไปได้
อันนี้ fb สวีเดนควรแจงให้ชัด จะมาแค่อ้างว่ามีรายละเอียดอยู่ในเวปอื่น ๆ ของสถานทูต เข้าไปหาอ่านเองได้ แค่นี้ไม่ได้ ควรเสนอและให้ข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้องให้มากกว่าการพูดแค่ “ฝัน” จะย้ายประเทศ คิดถึงสวีเดน
วันนี้สวีเดนมีคนในวัยทำงาน ตกงานถึง 10% คิดเป็นจำนวนคนถึง 549,300 คน สัปดาห์ที่ผ่านมา คนว่างงานเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนถึง 3% ยิ่งยุคโควิด ยิ่งแย่
ในสวีเดน รัฐบาลโดนโจมตีมาก เรื่องหางานให้คนทำไม่ได้
ทางการเมือง พรรคขวาจัด Sverigedemokraterna ที่ต่อต้านคนต่างชาติแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ คะแนนไล่ ๆ กันมากับพรรคสังคมประชาธิปไตย
Socialdemokraterna และพรรคอนุรักษ์นิยม Moderaterna
แล้วเขาจะให้คนแห่กันเข้าไปทำไม
ถ้าแค่รังเกียจรัฐบาลคุณประยุทธ์ แล้วย้ายไปที่นั่น จะหนีเสือปะจระเข้ ครับ
มีใครเล่าหรือยังครับว่า หลายปีที่ผ่านมานโยบายของรัฐบาลสวีเดนไม่ได้สนับสนุนให้คนต่างชาติเข้าประเทศมากเลย มีโอกาสพิจารณาจากใบสมัคร ถ้ามีช่องโหว่ให้ไล่ ให้ส่งกลับแล้ว เขาจะไม่รอช้า คนที่เข้าไปขอลี้ภัยจำนวนมาก รอฟังการพิจารณาเป็นปี ๆ อยู่แบบไม่มีอนาคตและไม่เห็น “ความฝัน” ในชีวิต ที่ถูกจับตัวขึ้นเครื่องบินส่งกลับประเทศก็มีเยอะแล้ว แม้กระทั่งว่าหลายคนถูกส่งกลับไปประเทศที่เป็นเผด็จการ และตำรวจที่นั่นรอรับตัวเพื่อยัดเข้าคุก หรือเอาไปประหารชีวิต ก็เกิดเป็นข่าวเสมอ คนต่างชาติที่เข้าไปอยู่อาศัยแล้วเป็นปี ๆ หรือเกิน 10 ปี หลบ ๆ ซ่อน ๆ หนีตำรวจหัวซุกหัวซุนเป็นหลายหมื่นคนในประเทศเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยในประเทศ ทุกวันนี้มีแต่เพิ่มจำนวนขึ้น เกินแสนคนแล้วมั้งครับ
ผมไม่ได้เจตนาขัดขวางความสุขใน “ความฝัน” ของใครที่จะออกนอกประเทศ
ที่เขียนมาทั้งหมด ก็พูดเรื่องสวีเดนประเทศเดียว ที่ผมเห็นว่าเด็ก ๆ ที่ทำ fb สวีเดน ไม่ได้ให้ภาพที่รอบด้านกับผู้สนใจ ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวง
ถ้าไม่เตือนกันแล้ว “ความฝัน” ที่วาดหวังไว้จะเป็น “ฝันร้าย” ที่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดเชียวละครับ
หมายเหตุ : ดร.บุญส่ง ชเลธร ผู้อำนวยการหลักสูตรปริญญาตรีออนไลน์ สาขาผู้นำด้านสังคม ธุรกิจและการเมืองวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
จบการศึกษาระดับปริญญาตรีการศึกษาเบื้องต้น จากวิทยาลัยครูสวนสุนันทา, ศิลปศาสตรบัณฑิต (รัฐศาสตร์) มหาวิทยาลัยรามคำแหง, รัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง
มีชื่อเสียงมาจากการเป็นนักศึกษาที่ทำกิจกรรมทางการเมืองในช่วงปี พ.ศ. 2513-พ.ศ. 2516 ในระหว่างเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ไม่นาน บุญส่งถูกจับพร้อมกับบุคคลอื่นอีก 12 คน รวมเป็น 13 คน ที่เรียกกันว่า "13 กบฏรัฐธรรมนูญ" ในข้อหาคอมมิวนิสต์และปลุกปั่นการต่อต้านรัฐบาล เนื่องจากการเดินแจกใบปลิวตามสถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร เช่น ประตูน้ำ, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ, สยามสแควร์ ยังความไม่พอใจแก่กลุ่มนักศึกษาและประชาชนโดยมากได้ จนกลายมาเป็นเหตุการณ์จลาจลในที่สุด
หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 บุญส่งหลบหนีเข้าป่าเนื่องจากเหตุการณ์ เมื่อออกจากป่าแล้ว ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ยังกรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน โดยประกอบอาชีพเป็นครูสอนภาษาไทย-สวีเดน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 และได้ศึกษาเกี่ยวกับนโยบายรัฐสวัสดิการในแถบสแกนดิเนเวียด้วย มีผลงานหนังสือเรื่องรัฐสวัสดิการสวีเดน
บุญส่งเดินทางกลับสู่ประเทศไทยในปี พ.ศ. 2552 และกลางปี พ.ศ. 2553 เข้าสังกัดพรรคการเมืองใหม่ด้วยการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ในเขตบึงกุ่ม มีการเลือกตั้งในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553 แต่ไม่ได้รับการเลือกตั้ง