"...หรือถ้ากลัวว่าจะมีข้อครหาว่าผมจะมีรายได้จากดอกเบี้ยที่บริษัทผมจ่ายในอัตราสูง ก็เป็นว่าให้มีการขายในตลาดตราสารหนี้ก่อนระยะเวลาหนึ่งตามแต่จะกำหนด เมื่อครบเวลาแล้วขายไม่หมด ค่อยให้ผมเข้าไปซื้อเป็นการส่วนตัวเท่านั้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ก่อนกองทุนจะเข้ามารับซื้อก็ได้ ในกรณีนี้ผมจะพยายามซื้อให้มากเพื่อให้เป็นภาระแก่กองทุนฯน้อยที่สุด ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องแรกที่ทำได้และช่วยตลาดตราสารหนี้ได้มากโขเลยนะครับ ผลพลอยได้คือสังคมจะได้ลดความเห็นแตกต่างขัดแย้งลงในกรณีพระราชกำหนดฉบับนี้ลงในระดับสำคัญเสียที ที่ว่ารัฐบาลจะเข้ามา ‘อุ้มคนรวย’ น่ะไม่ใช่หรอกถือว่าเป็นการช่วยท่านนายกฯในทางการเมืองด้วยระดับหนึ่ง..."
ถ้าผมเป็นมหาเศรษฐี 3 - 5 รายแรกที่ได้รับจดหมายเปิดผนึกจากท่านนายกฯ นอกจากโครงการต่าง ๆ ที่จะคิดมาช่วยชาติแล้ว ในส่วนของหุ้นกู้ที่บริษัทในเครือของผมออกและจะครบกำหนดไถ่ถอนในปีนี้ หรือภายในสองสามเดือนนี้ ที่จะออกหุ้นกู้ใหม่ทดแทนหรือ Rollover ผมจะแสดงความจำนงว่าจะควักกระเป๋าส่วนตัวเข้าไปซื้อหุ้นกู้นั้นเอง ‘เป็นการส่วนตัว’ เป็นจำนวนพอสมควรในระดับที่มีนัยสำคัญ ถือเป็นการ ‘ช่วยตัวเอง’ หรือช่วยเหลือเครือบริษัทของผมเองก่อนที่กองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ (BSF) วงเงิน 4 แสนล้านบาทที่กำลังเกิดขึ้นตามพระราชกำหนดการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ พ.ศ. 2563 จะเข้ามารับซื้อ
ทั้งนี้ ผมจะขอเข้าไปช่วยชาติตามมาตรา 14 (2) ตามแต่เงื่อนไขที่คณะกรรมการกำกับกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้จะกำหนดหรือแนะนำ ถือเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมจากที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนด
คือจะให้เป็น ‘เงื่อนไขบังคับก่อน’ ให้ผมต้องเข้าไปซื้อเป็นการส่วนตัวเท่านั้นเท่านี้เปอร์เซนต์ก่อนที่กองทุนฯจะเข้ามาช่วยรับซื้อก็ได้
หรือถ้ากลัวว่าจะมีข้อครหาว่าผมจะมีรายได้จากดอกเบี้ยที่บริษัทผมจ่ายในอัตราสูง ก็เป็นว่าให้มีการขายในตลาดตราสารหนี้ก่อนระยะเวลาหนึ่งตามแต่จะกำหนด เมื่อครบเวลาแล้วขายไม่หมด ค่อยให้ผมเข้าไปซื้อเป็นการส่วนตัวเท่านั้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ก่อนกองทุนจะเข้ามารับซื้อก็ได้ ในกรณีนี้ผมจะพยายามซื้อให้มากเพื่อให้เป็นภาระแก่กองทุนฯน้อยที่สุด
ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องแรกที่ทำได้และช่วยตลาดตราสารหนี้ได้มากโขเลยนะครับ
ผลพลอยได้คือสังคมจะได้ลดความเห็นแตกต่างขัดแย้งลงในกรณีพระราชกำหนดฉบับนี้ลงในระดับสำคัญเสียที ที่ว่ารัฐบาลจะเข้ามา ‘อุ้มคนรวย’ น่ะไม่ใช่หรอก
ถือว่าเป็นการช่วยท่านนายกฯในทางการเมืองด้วยระดับหนึ่ง
อันที่จริง ลองจินตนาการดูนะครับว่าถ้าผมและเพื่อนมหาเศรษฐี 3 - 5 รายแรกช่วยกันควักกระเป๋าส่วนตัวหรือกระเป๋ากงสีเข้ามาซื้อหุ้นกู้ของบริษัทเรา ‘เป็นการส่วนตัว’ เป็นข่าวเปิดเผยไปทั่ว เอาแค่ว่าสักประมาณ 20 % ก่อนก็ได้ ผมเชื่อเลยนะครับว่านักลงทุนทั้งสถาบันและปัจเจกจะตามแห่เข้ามาซื้อ เพราะเกิดความมั่นใจที่ ‘เจ้าของ’ อย่างพวกผมนำหน้าแสดงออกด้วยการกระทำจริงควักกระเป๋าจริง
ที่สุดแล้ว กองทุนฯอาจแทบไม่ต้องเข้ามาซื้อเลยก็เป็นได้ !
พระราชกำหนดฯออกไปแล้วก็ไม่เป็นไร ตั้งกองทุนฯขึ้นมาแล้วก็ไม่เป็นไร ถือเป็นด่านต่อไป เพราะเรายังไม่รู้ว่าวิกฤตครั้งนี้จะใช้เวลาแก้ไขอีกนานแค่ไหน สงวนวงเงิน 4 แสนล้านบาทก้อนนี้ไว้ให้นานที่สุดเพื่อความมั่นคงของระบบการเงินของประเทศ
ทั้งหมดนี้เป็นเพียง ‘ถ้า...’ เพราะเรื่องจริงคือผมไม่ใช่มหาเศรษฐี 3 - 5 รายแรกที่ได้รับจดหมายเปิดผนึกจากท่านนายกฯ
เราอาจจะคิดเห็นต่างกันได้
แต่ผมก็ขอเสนอความคิดเห็นข้างต้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนกับท่านมหาเศรษฐีด้วยความเคารพ
คำนูณ สิทธิสมาน
23 เมษายน 2563
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2914557911921477&id=100001018909881