"...วิธีการอัดฉีดเงินโดยตรงแน่นอนว่าจะต้องมีจุดโหว่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้รัฐบาลมีทางเลือกไม่มากนัก การ “flatten the recession curve” เป็นความจำเป็นสูงสุด หากรัฐบาลออกนโยบายที่ช่วยเหลือประชาชนโดยตรงเร็วกว่านี้ เราอาจไม่เห็นปรากฏการณ์แรงงานกลับบ้านจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่บีบคั้น ซึ่งเพิ่มโอกาสการกระจายเชื้อไปทั่วประเทศ เสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งหมายถึงรายจ่ายจากการรักษาพยาบาลที่รัฐบาลต้องแบกรับก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ณ เวลานี้ นโยบายประคองเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อประชาชนเร็วที่สุดคือยาจำเป็นที่เศรษฐกิจต้องการ แน่นอนว่านโยบายนี้จะสร้างภาระทางการคลัง แต่หากไม่ทำ ภาระการคลังอาจจะยิ่งมากกว่านี้หลายเท่า..."
ช่วงที่ผ่านมา ผมได้ติดตามท่าทีของรัฐบาลต่อภาวะเศรษฐกิจในยุค Covid อย่างใกล้ชิดด้วยความเป็นห่วงต่ออนาคตเศรษฐกิจไทย นโยบายรักษาระยะห่างทางสังคม (social distancing) และการปิดสถานที่ต่าง ๆ เพื่อให้คนอยู่กับบ้านเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุดที่จะทำให้โลกผ่านวิกฤต Covid ได้ แต่แน่นอน นโยบายเหล่านี้ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกือบทุกอย่างต้องหยุดชะงักลงอย่างสิ้นเชิงโดยไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าจะกินเวลานานเท่าใด
ปัจจุบันคาดการณ์กันว่านโยบายจำกัดการติดเชื้อไวรัสในประเทศต่าง ๆ ทำให้ 2 ใน 3 ของ GDP โลกหยุดเคลื่อนไหว ดังนั้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่งเป็นสิ่งที่โลกและไทยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แล้วไทยควรจะทำอย่างไรให้ประชาชน โดยเฉพาะคนที่ได้รับผลกระทบเลิกจ้างและผู้มีรายได้ต่ำ ซึ่งเป็นคนหมู่มากและมีภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจต่ำ บาดเจ็บน้อยที่สุดและฟื้นตัวได้เร็วหลังวิกฤตผ่านพ้นไปแล้ว ?
1/ เร่งใช้นโยบายประคับประคองระบบเศรษฐกิจรากฐานไม่ให้ล้มลง
ในช่วงที่ยังมี social distancing นโยบายภาครัฐต้องเน้นพุ่งเป้าไปที่ประชาชนและธุรกิจขนาดย่อยและกลาง (SMEs) ที่ได้รับความเดือดร้อนมากที่สุดเป็นอันดับแรกมากกว่าจะเลือกอุ้มนักลงทุนหรือเจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ตามปกติ นโยบายเศรษฐกิจแบบส่งผลตรง ๆ จัง ๆ ต่อประชาชนมักไม่ค่อยได้รับความนิยม เพราะจะถูกมองว่าเป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นนโยบายประชานิยมต่าง ๆ นานา แต่ในห้วงเวลาที่ประชาชนและธุรกิจโดยเฉพาะคนเล็กคนน้อยที่สายป่านสั้นได้รับความเดือดร้อนจาก shock อย่างเดียวกันพร้อม ๆ กันแบบนี้ เป็นหน้าที่โดยตรงของรัฐบาลที่จะเข้าช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ให้ตรงจุดและรวดเร็วที่สุด เพราะเกิดจากเหตุการณ์ที่ประชาชนไม่สามารถควบคุมและคาดการณ์ได้ ยิ่งช้าความเสียหายยิ่งมาก
ที่ผ่านมา แบงก์ชาติมีมาตรการให้ลูกหนี้รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อหมุนเวียนระยะสั้นรวมทั้งมาตรการการพักชำระหนี้ ถือเป็นทิศทางที่ควรทำ แต่ยังไม่เพียงพอ เพราะอำนาจการตัดสินใจน่าจะอยู่ที่ธนาคารผู้ให้กู้ และมาตรการยังแตกต่างไปตามธนาคารต่าง ๆ นอกจากนี้ แรงงานจำนวนมากที่ไม่ได้เข้าถึงภาคการเงินในระบบก็แทบจะไม่ได้รับประโยชน์ใดจากมาตรการนี้
การอัดฉีดเงินโดยตรง (income support) ให้กับประชาชนและธุรกิจที่ได้รับผลจาก social distancing คือสิ่งที่รัฐบาลต้องทำ และเป็นนโยบายที่หลายประเทศเริ่มคิดกันอย่างจริงจัง รวมทั้งต้องมี commitment ที่ชัดเจนเพื่อสร้างความเชื่อมั่น จำนวนเงินจะเป็นจำนวนเดียวกันทั้งหมดหรือขึ้นอยู่กับรายได้ในช่วงก่อนหน้า จะเป็นเงินให้เปล่าหรือต้องคืนบางส่วน และจะให้เป็นเวลานานเท่าใด ขึ้นอยู่กับว่าวิธีไหนจะช่วยและเข้าถึงประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือได้ดีที่สุด วิธีการส่งเงินให้ถึงมืออาจใช้การโอนผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งสะดวกและป้องกันการทุจริตได้ในระดับหนึ่ง สำหรับแรงงานนอกระบบซึ่งไม่มีฐานข้อมูลรายได้ที่ชัดเจนอาจอาศัยความร่วมมือจากภาคประชาสังคมในการเป็นตัวกลางระหว่างรัฐบาลและแรงงาน โดยต้องทำให้กระบวนการรับเงินสะดวกรวดเร็วที่สุด หลีกเลี่ยงการสร้างกระบวนการที่ยุ่งยากซับซ้อน
วิธีการอัดฉีดเงินโดยตรงแน่นอนว่าจะต้องมีจุดโหว่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้รัฐบาลมีทางเลือกไม่มากนัก การ “flatten the recession curve” เป็นความจำเป็นสูงสุด หากรัฐบาลออกนโยบายที่ช่วยเหลือประชาชนโดยตรงเร็วกว่านี้ เราอาจไม่เห็นปรากฏการณ์แรงงานกลับบ้านจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่บีบคั้น ซึ่งเพิ่มโอกาสการกระจายเชื้อไปทั่วประเทศ เสี่ยงต่อสุขภาพของประชาชนจำนวนมาก ซึ่งหมายถึงรายจ่ายจากการรักษาพยาบาลที่รัฐบาลต้องแบกรับก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ณ เวลานี้ นโยบายประคองเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อประชาชนเร็วที่สุดคือยาจำเป็นที่เศรษฐกิจต้องการ แน่นอนว่านโยบายนี้จะสร้างภาระทางการคลัง แต่หากไม่ทำ ภาระการคลังอาจจะยิ่งมากกว่านี้หลายเท่า
2/ รัฐต้องเตรียมออกนโยบายเพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจตั้งแต่ตอนนี้ เพราะหากรอให้เห็นความเสียหายเสียก่อน ก็คงจะสายไปแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้ แบงก์ชาติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ แต่นโยบายเหล่านี้ไม่เพียงพอกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในครั้งนี้ จำเป็นที่จะต้องมีนโยบายจากส่วนอื่น ๆ เป็นตัวนำโรง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมจากภาคการคลัง การพัฒนานโยบายสวัสดิการขั้นพื้นฐานอย่างเร่งด่วนเพื่อรองรับคนตกงานจำนวนมากให้อยู่รอดและหาอาชีพใหม่ได้ นโยบายส่งเสริมการค้าขายระหว่างประเทศซึ่งรูปแบบจะเปลี่ยนแปลงหลังวิกฤตสิ้นสุดลง การปรับเปลี่ยนนโยบายการกำกับดูแลภาคการเงินซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นที่ประโยชน์ของประชาชนโดยส่วนใหญ่มากกว่าการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุน (นโยบายประเภทถ้านายทุนดีทุกคนจะดีเอง หรือช่วยนายทุนก่อนไม่งั้นไม่รอด เห็นได้หลายครั้งหลายคราว่าไม่ work) ตลอดจนแผนการบริหารหนี้การคลังที่จะเพิ่มขึ้น
นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกหลายคนให้ความเห็นว่าโครงสร้างระบบเศรษฐกิจโลกหลังวิกฤต covid จะเปลี่ยนไป ดังนั้น หลายประเทศต่างต้องเตรียมนโยบายเหล่านี้เช่นกัน ไม่มีใครวาดภาพได้แน่ชัด แต่ถ้าไทยไม่เริ่มคิดเริ่มทำ ก็จะยิ่งตกขบวนไปกว่านี้ชนิดที่กลับตัวได้ยาก
3/ นโยบายตามข้อหนึ่งและข้อสองไม่อาจสำเร็จได้หากรัฐไม่ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชน รัฐไทยกำลังเผชิญวิกฤตทางศรัทธาของประชาชนจำนวนมากจากการตอบสนองหรือล่าช้า (หรือไม่มีเลย) ที่สั่งสมจากเหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตของประชาชนในช่วงที่ผ่านมา เช่น วิกฤตฝุ่น PM 2.5 นโยบายเศรษฐกิจจะทำงานไม่ได้ดีหากประชาชนไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจต่อรัฐอยู่บ้างเลย แม้นโยบายที่ถูกต้องในหลักการก็จะไม่มีประสิทธิภาพ หากประชาชนไม่เชื่อในวิสัยทัศน์และความสามารถของรัฐที่จะดำเนินมาตรการที่เสนอออกมาให้เกิดดอกออกผล การสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจไม่ได้เกิดจากการบังคับหรือขอให้เชื่อ แต่ต้องเกิดจากการพิสูจน์ให้เห็นผ่านการสื่อสารที่ชัดเจนและสอดคล้องกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ การออกนโยบายที่ทันท่วงที และที่สำคัญที่สุดคือท่าทีที่แสดงให้เห็นว่ารัฐ “แคร์” ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริง มิใช่มุ่งหวังเพียงเพื่อช่วยพยุงกลุ่มธุรกิจใดเป็นพิเศษ สิ่งเหล่านี้เรายังไม่เห็นจากรัฐบาลปัจจุบัน
วิกฤต Covid ครั้งนี้เป็นความท้าทายที่แทบจะไม่มีใครในโลกเคยได้สัมผัสมาก่อน ดังนั้น วิธีการรับมือจึงจะต้องใช้ความสร้างสรรค์และการคิดนอกกรอบเป็นอย่างมาก ขอให้ post นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการแลกเปลี่ยนความคิดกันครับ
หมายเหตุ : ฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ นักวิจัยอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย จบปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ จากลอนดอน สกูล ออฟอีโคโนมิกส์ (LSE) สหราชอาณาจักร ปัจจุบัน กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ด้านนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา