"...ทุกครั้งที่พยาบาลเข้ามาชุดป้องกันเต็มยศเสมอ แต่พอออกไปนอกประตูกระจกก่อนออกจากห้องทางประตูโลหะนั่น จะถอดชุดอย่างระมัดระวัง และทิ้งทุกอย่างลงถังขยะใบใหญ่ ไม่ว่าจะถุงมือที่ใส่สองชั้น ชุดป้องกัน หน้ากาก หมวก แว่นครอบตา Face Shield ที่ครอบเท้า ทุกอย่างใช้ครั้งเดียวทิ้ง มันเหมือนกับหนังวิทยาศาสตร์จริงๆ หากวันนี้… คือฉากสงครามระหว่างมนุษยชาติกับไวรัสโควิด-19 ที่นี่เสมือนเป็นสมรภูมิแนวหน้าและผมก็เหมือนเป็นพลเรือนที่ได้อยู่ในสมรภูมินี้พอดี..."
หากวันนี้… คือฉากสงครามระหว่างมนุษยชาติกับไวรัสโควิด-19 ที่นี่เสมือนเป็นสมรภูมิแนวหน้าและผมก็เหมือนเป็นพลเรือนที่ได้อยู่ในสมรภูมินี้พอดี
เมื่อผมหายใจเข้า ผมเจ็บปอดซ้าย
บ่ายวันที่สี่ของการกักตัวเองในบ้านหลังจากกลับจากญี่ปุ่น ผมรู้สึกไม่ดีมากๆ ทั้งเจ็บคอ ไอ จามไม่หยุด
โลกในวันที่เราต้องคิดถึงคนรอบข้างอย่างยิ่งยวด ในยุคที่หากเราไอไม่ปิดปากหรือออกไปเดินห้างหลังจากกลับจากญี่ปุ่นหรือเกาหลี เราจะกลายเป็นแม่มด และโซเชียลทั้งประเทศพร้อมจะออกไล่ล่าคุณทันที…
ผมไม่มีทางเลือกนอกจากจะรีบไปให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
ถึงตอนโทรไปทางโรงพยาลจุฬาฯ จะบอกมาว่าผมมาไม่ทันตรวจวันนี้แล้ว แต่ผมไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันแย่กว่านี้ ผมลองคุยกับเจ้าหน้าที่ตรงตึก ภ.ป.ร ดู เขาช่วยแฮะ
“ไปตึกจงกลนี”
และพอไปถึงตึกจงกลนี เจ้าหน้าที่บอกผม “ต้องไปตึกภูมิศิริ”
และเมื่อได้คุยกับเจ้าหน้าที่ของตึกภูมิสิริก็ต้องเดินกลับมาจงกลนีใหม่… นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่กำชับว่า “ที่ตึกนั่นคือตึกรักษาผู้ป่วยโควิดมีคนที่อาจจะติดเชื้อเดินอยู่เต็มไปหมด ระวังตัวนะน้อง”
บุรุษพยาบาลเดินออกมารับใบ พร้อมซักประวัติผมอีกรอบ นัยน์ตาเขาเบิกโผลง ผมวัดไข้ได้ 38 กว่า สูงกว่าตอนบ่ายอีก (อาจคงเพราะเดินไปเดินมาด้วย) ได้คำอุทานตอบกลับมาคำนึง “ไอ้หยา?!”
บุรุษพยาบาลรีบวิ่งเข้าไปหลังห้องกระจกเค้าท์เตอร์ พูดอะไรบางอย่าง จากนั้นสายตาเกือบสิบคู่หันมามองผม… ไอ้เราก็เริ่มใจแป้ว
ก่อนพบหมอ ผมต้องผ่านประตูแอร์ล็อคชั้นแรกก่อน จากนั้นหมอซักประวัติผม ส่องคอ และฟังเสียงปอด
“แจ้ง Code PUI เตรียม Throat swab และเตรียมห้องให้ด้วย”
นาทีถัดมาทั้งหมอ และพยาบาลกลับเข้ามาด้วยชุดกันป้องกันติดเชื้อเต็มสตรีม ราวกับออกมาจากหนังผีชีวะ เสื้อคลุม หน้ากาก ถุงมือ แว่นตา และ Face Shield
บุรุษพยาบาลนำผมไปเอกซเรย์ปอด เราต้องเดินผ่านประตูแอร์ล็อกกระจกอีก 2 ชั้น บานแรกเปิดแล้วต้องปิดก่อนที่บานถัดไปจะสามารถเปิดได้ วิธีเปิดใช้มือโบกผ่านเซนเซอร์ริมกำแพง จากตรงนี้เป็นต้นไปสังเกตเห็นเครื่องพ่นแอลกอฮอล์อัตโนมัติตลอดสองฝั่งทุกบานแอร์ล็อก มันดูสุโก้ย มาก
จากนั้นมีพยาบาลอีกคนแต่งตัวป้องกันเต็มยศเช่นกัน พาเดินผ่านแอร์ล็อกกระจกบานที่ 3 ผมเห็นป้าย “คลินิคโรคโรคอุบัติใหม่” มีแอร์ล็อกกระจกบานที่ 4 มีลิฟต์อยู่ข้างใน และมีพยาบาลอีกคนลงมารอรับตัว
พอเข้ามาหลังบานที่4 พยาบาลคนแรกบอกว่ามาส่งได้แค่นี้ พยาบาลอีกคนมาพาขึ้นลิฟต์ถึงชั้น 4 ก็ต้องเดินผ่านแอร์ล็อกกระจกบานที่ 5 ผมเห็นโถงทางเดินยาว สองฝั่งของทางเดินมีแอร์ล็อกยาวสุดสายตา ที่ริมกำแพงมีประตูแอร์ล็อกโลหะทึบบานใหญ่ มีช่องกระจกเล็ก ๆ เหมือนตู้เซฟนิรภัยธนาคาร เรียงรายตลอดแนว มีราว 5-6 ห้อง มุมมองตอนนั้นเหมือนหลุดมาอยู่ในโลกเกมซอมบี้ชื่อดัง ทุกอย่างดูไฮเทค และดูมีความปลอดภัยทางชีวภาพขั้นสูงมาก
พยาบาลนำผมไปถึงหลังประตูแอร์ล็อกเหล็กห้อง 403 …
วินาทีที่ผมเดินผ่านประตูนั้น ผมก็ไม่ใช่คนปลอดภัยอีกต่อไป… ผมกลายเป็นผู้ต้องเฝ้าระวัง ผู้โดนกักบริเวณโดยสมบูรณ์
ใช่แล้วนี่แหล่ะคือห้องที่เรียกว่า ห้องกักกันหรือห้องความดันลบ
* ห้องความดันลบ ห้องที่เขาจะอัดอากาศสะอาดไว้รอบนอกห้อง ความดันในห้องนี้จะต่ำกว่าข้างนอกเสมอ ดังนั้นทุกครั้งที่ประตูห้องเปิดอากาศภายนอกไหลเข้ามาภายในได้อย่างเดียว เพื่อไม่ให้เชื้อที่อยู่ในห้องกระจายออกไปภายนอกได้เด็ดขาด…
ห้องหลังประตูเหล็ก… สะอาดมาก โล่ง ไม่มีของตกแต่งใดๆ เลย พี่พยาบาลบอกว่าเขาจะมาวัดไข้ทุก 4 ชม. แล้ว 6 โมงเช้าเจาะเลือดตรวจ PCR และที่สำคัญไม่อนุญาตผู้ป่วยออกไปนอกประตูเด็ดขาด มีกล้องคอยดูอาการตลอด 24 ชม. !!
ทุกครั้งที่พยาบาลเข้ามาชุดป้องกันเต็มยศเสมอ แต่พอออกไปนอกประตูกระจกก่อนออกจากห้องทางประตูโลหะนั่น จะถอดชุดอย่างระมัดระวัง และทิ้งทุกอย่างลงถังขยะใบใหญ่ ไม่ว่าจะถุงมือที่ใส่สองชั้น ชุดป้องกัน หน้ากาก หมวก แว่นครอบตา Face Shield ที่ครอบเท้า ทุกอย่างใช้ครั้งเดียวทิ้ง มันเหมือนกับหนังวิทยาศาสตร์จริงๆ
หากวันนี้… คือฉากสงครามระหว่างมนุษยชาติกับไวรัสโควิด-19 ที่นี่เสมือนเป็นสมรภูมิแนวหน้าและผมก็เหมือนเป็นพลเรือนที่ได้อยู่ในสมรภูมินี้พอดี…
กว่าสิบแปดชั่วโมงที่ผมโดนกักกัน… โชคยังดีที่ยังเล่นมือถือได้ทำให้ผมไม่เบื่อมากนัก
จนราวบ่ายสามวันรุ่นขึ้น… จนท.แลปผู้ชายที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นเสียง เดินนำเข้ามาทักทายโดยไม่ใส่ชุดป้องกัน วินาทีนั้นผมโคตรดีใจ คือรู้ผลโดยไม่ต้องบอกเลย (เพราะถ้าเป็น covid 19 เขาต้องแห่เข้ามาด้วยชุดป้องกันเต็มยศแน่นอน)
“ปลอดภัยครับ ผลเป็นลบ แต่ยังไงก็ขอให้ป้องกันดูแลตนเองไว้ก่อน”
ครั้งนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตขั้นสุดที่หาไม่ได้จากที่ไหน ไม่น่าจะมีใครเหมือนมากนัก และไม่ควรมาเหมือนด้วย
ผมได้ไปเห็นกับตาว่าบ้านเรามีเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง ขั้นตอนปฏิบัติตามความปลอดภัยขั้นสูงในโรงพยาบาลรัฐ ในตึกที่ภายนอกดูทรุดโทรม แต่ภายในคือระดับเวิร์ลคลาส
“ผมได้กลับบ้านแล้ว”
ตอนเดินกลับออกไป แน่นอนต้องเดินทะลุแอร์ล็อกอีกถึง 4 บาน แต่บานสุดท้ายพี่พยาบาลไม่ได้ออกมาด้วย ขนาดจ่ายเงินยังต้องขอให้ใช้ โมบายแบงค์กิ้งเลย เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่สามารถออกจากตึกนี้ได้เลยตลอด 24 ชั่วโมง จะไปหน่วยบัญชีหยิบใบเสร็จอะไรประมาณนี้ก็แน่นอน ทำไม่ได้เลย
ท้ายสุดพี่เค้าก็อวยพรให้ปลอดภัยรักษาตัวเองให้ดี เจ้าหน้าที่แนวหน้าที่ต้องดูแลผู้ป่วย ทุกคนไม่ได้อยู่สุขสบาย มีแต่อยู่กับความเหนื่อย ความเสี่ยงอันตรายทั้งนั้น แต่พวกเค้าก็ยังมาดูแลด้วยความสุภาพยิ้มแย้ม คอยให้กำลังใจผู้ป่วยเสมอ
ฮีโร่ที่แท้จริง ไม่ได้มีเสื้อคลุมสีแดง ไม่ได้ใส่ชุดเกราะปล่อยแสง ไม่ได้ถือโล่ไวเบรเนียม แต่คือคนที่ใส่แค่หน้ากากอนามัย แต่พร้อมที่จะเสียสละแบบพวกคุณนี่แหล่ะ!!
ที่มาบทความ จากเว็บไซต์ https://www.marumura.com/covid-19/
หมายเหตุ : ภาพประกอบจากไทยโพสต์