“ในระยะเวลา 6 เดือนไม่มีทางที่จะผลิตวัคซีนรักษาได้ โดยการผลิตวัคซีนต้องใช้เวลาเป็นปี ทางประเทศไทยไม่มีกำลังคนและผู้เชี่ยวชาญในการผลิตวัคซีนด้านนี้ แต่คาดว่าทางจีนน่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้ภายใน 1 ปี โดยตอนนี้ที่เราทำได้ดีที่สุดคือรักษาตามอาการและการวินิจฉัยโรค ตลอดจนพัฒนาวิธีการตรวจให้รวดเร็วและถูกต้องที่สุด”
จากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมธีวิจัยอาวุโส สกสว. ได้ให้ข้อเสนอแนะถึงสถานการณ์นี้ว่า เราต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสในแง่ของการเสริมสร้างองค์ความรู้ มีการจัดการความรู้ (Knowledge Management) นักวิจัยต้องเกิดการผนึกกำลัง มีการบูรณาการของงานวิจัยในทุกศาสตร์มาช่วยแก้ปัญหา
ยกตัวอย่างเช่น นำนักคณิตศาสตร์มาวิจัยการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส นำนักเคมีมาวิจัยโครงสร้างของเชื้อไวรัส นักฟิสิกส์มาวิจัยเรื่องไบโอฟิสิกส์ นักสังคมศาสตร์มาวิจัยว่าเชื้อไวรัสส่งผลกระทบทางสังคมอย่างไร ส่วนนักสื่อสารมวลชนก็ทำการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับเชื้อไวรัส ทางด้านการแพทย์ก็วิจัยถอดรหัสพันธุกรรม ศึกษาว่า มีการกลายพันธุ์หรือไม่ และทางเภสัชศาสตร์ก็มาช่วยในการผลิตยา ดูว่าสามารถใช้ยาอะไรในการรักษาได้บ้าง
ศ.นพ.ยง กล่าวเพิ่มเติมว่า “การเตรียมความพร้อมและรับมือของเชื้อไวรัสในตอนนี้คือเราจะทำอย่างไรให้ชะลอเชื้อไวรัสให้ช้าที่สุด สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ เนื่องจากไม่อยากเห็นว่า ประชาชนมีความตระหนกแตกตื่น และแห่ไปตรวจที่โรงพยาบาล หรือต้องไปสร้างโรงพยาบาลสนาม”
ทั้งนี้ในเรื่องของการความเป็นไปได้ในการผลิตวัคซีน ศ.นพ.ยง เผยว่า “ในระยะเวลา 6 เดือนไม่มีทางที่จะผลิตวัคซีนรักษาได้ โดยการผลิตวัคซีนต้องใช้เวลาเป็นปี ทางประเทศไทยไม่มีกำลังคนและผู้เชี่ยวชาญในการผลิตวัคซีนด้านนี้ แต่คาดว่าทางจีนน่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้ภายใน 1 ปี โดยตอนนี้ที่เราทำได้ดีที่สุดคือรักษาตามอาการและการวินิจฉัยโรค ตลอดจนพัฒนาวิธีการตรวจให้รวดเร็วและถูกต้องที่สุด”
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ศ.นพ.ยง ได้โพสต์เฟชบุค ถึงกรณีการเกิดโรคระบาดว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดโคโรน่าไวรัสอู่ฮั่น ไม่ได้รุนแรงไปกว่าไข้หวัดใหญ่ การรังเกียจชาวจีน วิ่งหนี การปฏิเสธการขายของให้ชาวจีน เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง ทุกคนมีส่วนร่วม ต้องช่วยกันให้ผ่านวิกฤตไปด้วยกัน
สำหรัการระบาดอย่างรวดเร็วของโรคปอดบวมอู่ฮั่น โคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 ศ.นพ.ยง ยังระบุด้วยว่า โรคนี้ระบาดได้อย่างรวดเร็วและมีผู้ป่วยจำนวนมาก (รวม 6,000 คนแล้ว) รวดเร็วกว่า SARS หลายเท่า โรค SARS เริ่มเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน กว่าจะไปเริ่มระบาดจริงๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ และระบาดมากในมีนาคม เมษายน 2003 ก็ไม่เร็วเท่าโรคปอดบวมอู่ฮั่น
สาเหตุที่เชื่อว่าโรคนี้จะระบาด เกิดขึ้นได้ในประเทศไทย ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. การระบาดในประเทศจีนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่รู้ว่า มีผู้ป่วยปอดบวมพร้อมกัน 41 คน ในขณะนั้นการระบาดเป็นการรับช่วง จากผู้ป่วยส่งต่อกันมาถึงระดับที่ 4 หมายถึง ผู้ป่วยคนแรกไม่น่าจะมาจากตลาดขายของสด ในช่วงเวลาขณะนั้น มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งไม่ได้สัมผัสตลาดนี้เลย
2. ความรุนแรงของโรคนี้น้อย เมื่อเปรียบเทียบกับ SARS และ MERS อัตราตายของโรคนี้ ถ้าดูจำนวนเปอร์เซ็นต์จะมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เชื่อว่าน่าจะน้อยกว่า 1% หรืออาจจะอยู่ที่ 1 ในพัน จากผู้ป่วยที่เป็นนอกประเทศจีน กว่า 100 คนไม่มีผู้ใดเสียชีวิตเลย เพราะการวินิจฉัยจะทำได้ดีและรวดเร็วขึ้น และยอดผู้ป่วยที่แท้จริงจะมีมากกว่าผู้ป่วยที่รายงานมาก ตัวเลขอัตราการตาย ก็จะค่อยๆ ลดลงเหมือนการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ในปี 2009
3. การนับจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้น และเชื่อว่า อีก 1-2 เดือนต่อไป ก็จะไม่มีการนับแล้วเช่นเดียวกับการระบาดไข้หวัดใหญ่เมื่อ 10 ปีก่อน พอไปถึงระยะหนึ่งก็เลิกนับจำนวน
4. เมื่อโรคมีความรุนแรงน้อย จึงมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่ได้รับการวินิจฉัย และยังแพร่กระจายโรคได้ มีการเดินทาง จึงทำให้เกิดการแพร่กระจายของโรคได้อย่างรวดเร็ว
5. ขณะนี้ มีผู้ป่วยที่ไม่ได้ไปสัมผัสในประเทศจีน เกิดขึ้นในหลายประเทศเช่น เวียตนาม ญี่ปุ่น และเยอรมัน ดังนั้นก็จะพบได้อีกในหลายประเทศต่อไป
6. ความรุนแรงเหมือนไข้หวัดใหญ่ การระบาดจึงเหมือนไข้หวัดใหญ่ ที่พร้อมจะกระจายข้ามทวีป และกระจายไปทั่วโลก อย่างเช่นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 6 เดือนก็กระจายไปทั่วโลก
"เราต้องยอมรับความจริง โรคนี้ระบาดแน่ในประเทศไทย และทุกประเทศ แต่ก็ควรมีมาตรการให้ระบาดช้าที่สุด เพื่อรอองค์ความรู้ใหม่ และข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับโรคนี้ เราไม่อยากเห็นการระบาดอย่างรวดเร็ว การตั้งรับ การทำงานของบุคลากรสาธารณสุข ความสับสน การทำงาน จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก เราไม่อยากเห็นการก่อสร้างโรงพยาบาลสนามแบบจีน การระบาดเมื่อประชากรเป็นแล้ว มีภูมิถึงระดับหนึ่ง โรคก็จะสงบ ไม่ควรตื่นตระหนก เพราะดูความรุนแรงของโรคแล้ว น่าจะอยู่ในระดับของไข้หวัดใหญ่ ไม่มีใครอยากป่วย ทุกคนจะต้องช่วยกันป้องกัน และลดการแพร่กระจายให้ช้าที่สุด เพื่อลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด ลดการตื่นตระหนก ลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะยังมาซึ่งความลำบากของประชาชนทุกคน หน้าที่ดังกล่าวจึงเป็นของคนทุกคนที่ต้องช่วยกัน"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
สธ. จับมือ ดีอี ปอท. ประเดิมเอาผิด 7 ราย โพสต์-แชร์ข่าวลวง ไวรัสโคโรน่า
ระบาดมากกว่าโรคซาร์ SCMP ชี้ไวรัสโคโรน่า ยอดเสียชีวิตพุ่ง 132 คนแล้ว
สหประชาชาติ ชมจีนพยายามคุมการระบาดไวรัสโคโรน่า-ยอดผู้เสียชีวิตพุ่ง 106 คนแล้ว ไทยเจอเพิ่มอีก 6
เปิดแผนที่แบบเรียลไทม์ แสดงการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า
จีนประกาศยอดเสียชีวิตไวรัสโคโรน่า เพิ่มเป็น 80 ราย-นายกฯหลี่ เค่อเฉียง ลงพื้นที่อู่ฮั่น
ไวรัสโคโรนา : ความท้าทายใหม่ของมนุษย์
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/