
"...การจัดทำหลักเขตแดนทางบกจะดำเนินไปตามกลไกของคณะกรรมการเขตแดนร่วมฯ หรือ JBC และกรอบข้อตกลงที่มีอยู่ระหว่างไทยกับกัมพูชา แม้จะไม่ได้ระบุชื่อไว้แต่ก็เข้าใจได้ว่าคือ MOU 2543 ซึ่งรวมถึงขั้นตอนการปฏิบัติในรายละเอียดคือ TOR 2546 ด้วย..."
แถลงการณ์ร่วมฯไทย-กัมพูชาหรือ JS 2568 ข้อ 2 แม้สำคัญ แต่ที่สำคัญกว่าหรือสำคัญที่สุดคือข้อ 3
ข้อ 2 กำหนดให้ทั้งสองฝ่ายวางกำลังทหารไว้ ณ จุดที่ตั้งในปัจจุบัน ไม่ต้องถอย เพียงแต่จะต้องไม่มีการเคลื่อนไหวเพิ่มเติม และจะต้องไม่มีการเคลื่อนกำลังทหารใด ๆ รวมถึงการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย แน่นอนว่าไทยได้เปรียบ เพราะยึดครองเป้าหมายตามเส้นปฏิบัติการ 1:50,000 (ซึ่งหมายถึงแผนที่อัตราส่วน 1:50,000 ที่สหรัฐฯจัดทำขึ้นใช้ในข่วงสงครามเย็นและไทยใช้อยู่) ได้ทั้งหมดหรือเกือบหมด และมีที่เลยไปยังพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อเสริมความมั่นคงด้วย
แต่ขอให้โฟกัสไปที่ข้อ 3 เพราะเป็นหัวใจของทิศทางที่จะเดินหน้าต่อไป
เพราะการดำเนินการทั้งหมดที่ระบุไว้ใน JS 2568 รวมทั้งข้อ 2 จะต้องไม่กระทบต่อกระบวนการตามที่ข้อ 3 กำหนดไว้ คือการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก หรือ Demarcation
การจัดทำหลักเขตแดนทางบกจะดำเนินไปตามกลไกของคณะกรรมการเขตแดนร่วมฯ หรือ JBC และกรอบข้อตกลงที่มีอยู่ระหว่างไทยกับกัมพูชา แม้จะไม่ได้ระบุชื่อไว้แต่ก็เข้าใจได้ว่าคือ MOU 2543 ซึ่งรวมถึงขั้นตอนการปฏิบัติในรายละเอียดคือ TOR 2546 ด้วย
“…in accordance with existing agreements between the two countries…” = MOU 2543 !
สิ้นเสียงปืนปุ๊บ MOU 2543 และแผนที่ 1:200,000 ก็กลับมาปั๊บ และเป็นการกลับมาอย่างมั่นคงกว่าเดิม
เพราะถูกผูกไว้กับ JS 2568 ข้อ 3 อย่างแน่นหนา !
โดยฝ่ายไทยที่ได้เปรียบในสนามรบยินยอมพร้อมใจที่จะเข้าสู่สนามเจรจาตามกรอบเดิม
ฝ่ายกัมพูชาเสียหายในสนามรบมาก ประเทศบอบช้ำมาก ต้องเดินข้ามแดนด้วยสีหน้าบอกไม่ถูกมาเจรจาและลงนามในข้อตกลงที่ดูเหมือนเป็นผู้แพ้ รีบมารีบกลับ ไม่พูดจาใด ๆ แต่การได้สารัตถะในข้อ 3 (รวมถึงข้อ 4 ที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตไว้) ของข้อตกลง ทำให้พวกเขาไม่ใช่ผู้แพ้
พื้นที่ตามเส้นปฏิบัติการ 1:50,000 ที่ไทยยึดไว้ และ JS 2568 ข้อ 2 บอกไว้ว่าไม่ต้องถอยก็จริง แต่พึงระลึกไว้ว่านั่นยังไม่ใช่เขตแดนไทยเต็ม 100 หากเป็นเขตที่ต้องสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนตามข้อ 3 ภายใต้กรอบการเจรจา MOU 2543 (และขั้นตอนปฏิบัติ TOR 2546) เดิมที่ยอมรับแต่แผนที่ 1:200,000 ไม่มีระบุแผนที่อื่นใดรวมทั้งแผนที่ 1:50,000 ไว้ ทำให้ไม่รู้ว่าบทสรุปสุดท้ายจะเป็นฉันใด
ไม่ปฏิเสธละว่า MOU 2543 และ TOR 2546 กำหนดให้มีการจัดทำแผนที่ใหม่
ไม่ปฏิเสธเช่นกันว่า JBC ตกลงล่าสุดให้นำเทคโนโลยีใหม่ LiDAR มาใช้เพื่อหาสันปันน้ำที่แท้จริงมาทำแผนที่ใหม่
แต่ก็ยังสงสัยว่าในท้ายสุดผลจะเป็นอย่างไร และเมื่อไร หรือว่าจะตกลงกันได้หรือไม่
เขตแดนไทย-กัมพูชาจะเป็นไปตามพื้นที่ที่ไทยยึดครองไว้ ณ วันนี้หรือไม่
เพราะมันมีปัญหาสำคัญคาอยู่ !
โดยเฉพาะในส่วน 195 กิโลเมตรจากช่องบกถึงช่องสะงำที่ไม่เคยมีการจัดทำหลักเขตแดนมาก่อน และมีข้อถกเถียงว่าการปักปันเขตแดนเมื่อกว่า 100 ปีก่อนนั้นจริงหรือไม่คณะกรรมการผสมสยาม-ฝั่งเศสเขาตกลงกันว่าในเมื่อมีหน้าผาสูงของพนมดงรักปรากฎชัดก็ให้ยึดตามขอบหน้าผานั้นไปเลย ไม่ต้องสำรวจหาสันปันน้ำที่แท้จริงให้เกิดผลที่ยากปฏิบัติกันอีก แต่แผนที่ 1:200,000 ระวางดงรักกลับเขียนผิดเพี้ยนจนปรากฎชัดว่าล้ำเลยเข้ามาเกินขอบหน้าผาถึง 4.6 ตารางกิโลเมตร และกัมพูชาพยายามมาหลายสิบปีที่จะให้เส้นเขตแดนเป็นไปตามเส้นในแผนที่
ซึ่งความจริงแล้ว ฝ่ายไทยสามารถเขียน JS 2568 ข้อ 3 ให้ดีกว่านี้ได้มาก
การคงหลักการตามข้อตกลงที่มีอยู่เดิมไว้ เรื่องนี้ไม่ว่ากัน เพราะเท่ากับจำกัดปัญหาให้อยู่ในระดับทวิภาคี แต่ในขณะที่ผลในสนามรบเราได้เปรียบ จะเป็นจะตายกันเชียวหรือถ้าจะเขียนเพิ่มอีกสักประโยคสองประโยคประมาณว่าหากจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเดิมที่มีอยู่ก็ให้เป็นไปตามความยินยอมของสองประเทศคู่สัญญา ไม่ได้เรียกร้องต้องการถึงขั้นระบุไว้ว่าจะแก้ไขยังไงหรอก ขอเพียงแค่เปิดช่องไว้เท่านั้น ไม่ใช่ปิดตายประตูตายเสียเองอยู่อย่างที่ปรากฎ
แต่ในเมื่อผู้รับผิดชอบในการจัดทำ JS 2568 คือกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ผู้จัดทำและปกป้อง MOU 2543 มาโดยตลอด ความพยายามที่จะเปิดช่องจึงไม่เกิดขึ้น
ในขณะที่ฝ่ายทหารเองก็เพ่งสมาธิไปที่การผลักดันให้เกิดเนื้อหาในข้อ 2 ให้เป็นจริงเป็นดัานหลัก
ส่วนฝ่ายการเมืองนั้น ในเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาจากอดีตข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศเสียแล้ว คำตอบก็ชัดอยู่ว่าการจะเป็นเช่นใด
โอกาสดีที่สุดที่จะยกเลิกหรือแม้แต่แก้ไขเพิ่มเติม MOU 2543 ผ่านไปแล้ว
ประชามติก็ไม่มีแล้ว
MOU 2543 ไม่ได้ยืนอยู่โดด ๆ แล้ว แต่มี JS 2568 ข้อ 3 รับรองและรองรับไว้เต็ม ๆ และไปผูกมัดกับข้อ 2 อีกต่างหาก
รัฐบาลไทยรอบคอบกับการลงนามใน JS 2568 มาก นายกรัฐมนตรีแถลงเองหลังการประชุมสมช.เมื่อเย็นวันที่ 26 ธันวาคม 2568 ว่ามติที่เห็นชอบให้รัฐมนตรีกลาโหมไปประขุม GBC และลงนามในข้อตกลงในวันรุ่งขึ้นนั้นไม่ใช่เป็นเพียงมติสมช.เท่านั้นหากแต่เป็นมติคณะรัฐมนตรีไปพร้อมกันด้วย เพราะมีรัฐมนตรีร่วมประชุมอยู่ด้วยหลายคน การประชุมวันนั้นถือเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีด้วย จากการตรวจสอบข้อกฎหมายพบว่าเป็นไปตามพระราขกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 4(7) และมาตรา 8
ความจริงวันนี้จึงคือ JS 2568 ที่มีความชอบด้วยกฎหมายชัดเจนมาเป็นตัวช่วย MOU 2543 อึกแรงหนึ่ง
คำนูณ สิทธิสมาน
28 ธันวาคม 2568
แหล่งที่มา : Facebook ของ คำนูณ สิทธิสมาน




Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา