
"...ในกรณีความขัดแย้งไทย-เขมรอาจพูดได้ว่า 2 ประเทศใหญ่ที่เราต้องพยายามทุกวิถีทางให้อยู่ข้างเราให้ได้คือ สหรัฐฯและจีน โดยสหรัฐฯ ออกนอกหน้าในการพยายามให้เกิดความตกลงสันติภาพให้ได้ (ไม่ว่าจะด้วยวิธีการอะไร) เพื่อสร้างภาพของการเป็นผู้สร้างสันติภาพโลกของนายทรัมป์ เราจึงควรให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นพิเศษ..."
จากข้อความของทรัมป์ที่ลงใน X เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 68
ที่ระบุว่า เรื่องระเบิดจากระเบิดสังหารบุคคลเป็นเพียงอุบัติเหตุข้างทาง (roadside accident) เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่สามารถข้ามผ่านโดยไม่ทำอะไรเพื่อแก้ไข เนื่องจากเป็นสิ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังไม่เข้าใจในสถานะการณ์และเหตุผลแท้จริงในการใช้กำลังระหว่างไทย-เขมรในขณะนี้ ทั้งนี้ เราต้องไม่ลืมว่า ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ สหรัฐฯก็เป็นประเทศหมายเลข 1 ของโลกที่มีอิทธิสูงมากในการเมืองโลก
จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศต้องรีบพิจารณาปรับปรุงคำอธิบายเหตุผล (narrative ) ของเราในการใช้ความรุนแรงตอบโต้เขมรโดยด่วน เพราะที่ผ่านมาไทยเรามุ่งเน้นนำเสนอข้อเท็จจริงของการที่เขมรละเมิดความตกลงสันติภาพในเรื่องระเบิดสังหารบุคคลมาโดยตลอดและให้ความสำคัญต่อการให้ข้อเท็จจริงต่อนานาชาติในเวทีประชุมระหว่างประเทศ ซึ่งถือว่าผ่านไทยประสบความสำเร็จอย่างมากในเวทีระหว่างประเทศในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามการดำเนินนโยบายต่างประเทศมิได้อยู่ในเวทีระหว่างประเทศเท่านั้น การสร้างความเข้าใจและสร้างความเห็นพ้องในระดับทวิภาคีกับประเทศใหญ่ก็มีความสำคัญยิ่ง
ในกรณีความขัดแย้งไทย-เขมรอาจพูดได้ว่า 2 ประเทศใหญ่ที่เราต้องพยายามทุกวิถีทางให้อยู่ข้างเราให้ได้คือ สหรัฐฯและจีน โดยสหรัฐฯ ออกนอกหน้าในการพยายามให้เกิดความตกลงสันติภาพให้ได้ (ไม่ว่าจะด้วยวิธีการอะไร) เพื่อสร้างภาพของการเป็นผู้สร้างสันติภาพโลกของนายทรัมป์ เราจึงควรให้ความสำคัญเรื่องนี้เป็นพิเศษ
ข้อเท็จจริงที่ต้องตระหนักคือ สหรัฐฯ ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องระเบิดสังหารบุคคลเท่าไหร่นัก โดยสหรัฐฯไม่ได้เข้าเป็นสมาชิก Ottawa Convention (สนธิสัญญาห้ามใช้/ผลิต/จำหน่ายระเบิดสังหารบุคคล)และยังมีการใช้ระเบิดแบบนี้อยู่แพร่หลาย (โดยเฉพาะในบริเวณเส้นขนานที่ 38 แบ่งเขตแดนเกาหลีเหนือ-ใต้) แม้แต่การรบในยูเครนซึ่งสหรัฐฯและประเทศยุโรปเกี่ยวข้องโดยตรงก็ยังมีการใช้ระเบิดสังหารบุคคลเพื่อสกัดการรุกรานของรัสเซียกันเป็นปรกติ ถึงขนาดมีความพยายามจะเลิก Ottawa Convention ด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ ระเบิดสังหารบุคคลแท้จะมีอันตรายแต่ก็เป็นระเบิดที่อานุภาพไม่ร้ายแรงถึงทำให้เสียชีวิตตามชื่อ เพียงแต่ทำให้ขาขาด ดังนั้น การอ้างถึงการละเมิดความตกลงใช้ระเบิดดังกล่าวมาเป็นเหตุผลหลักในการใช้ F-16 และ Grippen จึงนำไปสู่คำถามที่เข้าทางเขมรว่า ไทยใช้กำลังเกินขอบเขตของการป้องกันตนเองหรือไม่
ดังนั้น แทนที่เราจะพยายามแก้ตัวเพียงว่าระเบิดที่ทำให้ทหารไทยขาขาดไม่ใช่อุบัติเหตุ ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเรา แต่เพื่อความสมน้ำสมเนื้อในการใช้กำลังทหารของเราจึงควรหาเหตุผลเพิ่มเติมที่หนักแน่นกว่ามาประกอบด้วย
โดยที่เรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์เป็น 1 ในเงื่อนไขในแถลงการณ์ร่วมไทย-เขมร เมื่อปลายเดือนต.ค. 68 และเรื่องการใช้พลเรือนเป็นโล่ห์ป้องกัน (human shield) ในการซุกซ่อนอาวุธและเป็นจุดโจมตีไทย รวมถึงการไม่อนุญาตให้คนไทยในเขมรเดินทางกลับประเทศเพื่อเป็นตัวประกัน ก็ล้วนเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจและกระทบผลประโยชน์โดยตรงของนานาชาติ จึงควรเป็นประเด็นที่ฝ่ายไทยพิจารณาหยิบยกมาใช้ เพื่อเพิ่มน้ำหนักในการสร้างเหตุผลเพื่อการอธิบาย (narrative)
การปรับเปลี่ยนยุทธวิธีในการต่อสู้ตามความเหมาะสมเพื่อผลิกสถานะการณ์ เมื่อปรากฏว่ายุทธวิธีเดิมถึงทางตันและไม่ส่งผลอย่างที่เราต้องการครั้งนี้เป็นแนวทางที่ควรได้รับการพิจารณาโดยเร่งด่วนเพื่อใหัปฏิบัติการทางทหารไม่สะดุดจากเงื่อนไขทางการทูต
เจษฎา กตเวทิน
14 ธ.ค.68

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา