
"...“ศูนย์ธรรมศาสตร์ ธรรมรักษ์” เป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการแปลง “วิสัยทัศน์เชิงนโยบาย” ให้เป็น “การปฏิบัติจริง” โดยพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย (Palliative Care) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและศักดิ์ศรีในช่วงสุดท้ายของชีวิต พร้อมทั้งพัฒนางานด้านการดูแลระยะยาวและการฟื้นฟูสมรรถภาพ (Long-term/Intermediate Care) สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการการฟื้นฟูต่อเนื่อง แต่ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลใหญ่..."
ตลอดไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โครงสร้างประชากรไทยได้เปลี่ยนผ่านจากสังคมที่คนวัยทำงานเป็นกำลังหลัก ไปสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” และกำลังก้าวต่อไปสู่ “สังคมผู้สูงอายุระดับยิ่งยวด” ที่ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้เป็นเพียงประเด็นด้านประชากร หากแต่เป็น “วาระแห่งชาติ” ที่ส่งผลกระทบกว้างไกลต่อระบบเศรษฐกิจ การคลัง สวัสดิการสังคม ระบบสุขภาพ ความมั่นคงของครอบครัว และคุณภาพชีวิตของผู้คนในทุกช่วงวัย
ระบบเดิมที่ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า “คนวัยทำงานจำนวนมากดูแลผู้สูงอายุจำนวนน้อย” กำลังสั่นคลอนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งระบบบำนาญ ระบบประกันสังคม และงบประมาณด้านสุขภาพต้องแบกรับภาระที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 5 – 10 ปีสุดท้ายของชีวิต ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรด้านสุขภาพอย่างเข้มข้น หากประเทศยังพึ่งพา “โรงพยาบาล” เป็นศูนย์กลางการดูแลเพียงรูปแบบเดียว เราจะเผชิญปัญหาเตียงไม่เพียงพอ บุคลากรทำงานเกินขีดความสามารถ งบประมาณเพิ่มสูงต่อเนื่อง และผู้สูงอายุจำนวนหนึ่งอาจไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
การเตรียมตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างแท้จริง จึงต้องมองไกลกว่าการเพิ่มเตียงผู้ป่วยหรือเพิ่มเบี้ยยังชีพเพียงอย่างเดียว คำถามสำคัญคือ ประเทศไทยควรมี “ระบบการดูแลระยะยาว” (Long - term Care) แบบใด ที่ผสมผสานการดูแลด้านสุขภาพ การดูแลทางสังคม และการเสริมพลังให้ครอบครัวและชุมชนสามารถแบ่งเบาภาระร่วมกันได้อย่างยั่งยืน นี่คือโจทย์เชิงระบบที่ต้องอาศัยองค์ความรู้เชิงลึกและกำลังคนจากหลากหลายสาขาวิชา
ในบริบทนี้ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่ถือกำเนิดขึ้น “เพื่อราษฎร” ไม่อาจยืนอยู่นอกกระแสการเปลี่ยนแปลง ตรงกันข้าม ธรรมศาสตร์มี “ความรับผิดชอบเชิงประวัติศาสตร์” ที่จะต้องลุกขึ้นมามีบทบาทสำคัญในการออกแบบทางออกเชิงโครงสร้างให้สังคมไทยก้าวสู่ยุคสูงวัยอย่างมีศักดิ์ศรีและคุณภาพ
ตลอดเวลากว่า 90 ปี ธรรมศาสตร์ยืนหยัดบนอุดมการณ์ด้านความเป็นธรรมทางสังคม และการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการศึกษา มีบทบาทขับเคลื่อนประเด็นสำคัญของประเทศในหลายมิติ ทั้งด้านกฎหมาย การเมือง เศรษฐศาสตร์ และสังคมศาสตร์ ก่อนจะขยายภารกิจสู่ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพในยุคปัจจุบัน การก่อตั้งคณะแพทยศาสตร์ คณะพยาบาลศาสตร์ คณะสหเวชศาสตร์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ล้วนสะท้อนเจตนารมณ์ในการนำ “วิชาการ” มารับใช้ “สังคม” อย่างเป็นรูปธรรม
จุดแข็งของธรรมศาสตร์ คือ การมีทั้งศาสตร์ด้านสังคม มนุษยศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สุขภาพอยู่ร่วมกันภายในมหาวิทยาลัยเดียวกัน ทำให้ธรรมศาสตร์มีศักยภาพสูงในการบูรณาการองค์ความรู้หลายมิติ สู่การออกแบบนโยบายและระบบการดูแลผู้สูงอายุที่ครอบคลุมทั้งมิติสุขภาพ เศรษฐกิจ กฎหมาย และโครงสร้างสังคม
จากพื้นฐานดังกล่าว ธรรมศาสตร์จึงสามารถกำหนดบทบาทต่อสังคมผู้สูงอายุได้อย่างชัดเจนในหลายด้าน ทั้งการผลิตองค์ความรู้และงานวิจัยเชิงนโยบายเพื่อเสนอโมเดลระบบการดูแลระยะยาวและระบบสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุที่สมดุลระหว่าง “ความเป็นไปได้ทางการคลัง” กับ “ความเป็นธรรมทางสังคม” การผลิตบุคลากรข้ามสาขาวิชา ทั้งด้านการแพทย์ การพยาบาล กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ สังคมสงเคราะห์ จิตวิทยา กายภาพบำบัด และเทคโนโลยีสุขภาพ ตลอดจนการเป็นพื้นที่ต้นแบบ (Living Lab) เพื่อทดลองและพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุในสถานการณ์จริง ผ่านโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ และศูนย์ธรรมศาสตร์ ธรรมรักษ์
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ในฐานะโรงเรียนแพทย์ตติยภูมิ ทำหน้าที่ทั้งรักษาพยาบาล พัฒนาองค์ความรู้ และผลิตบุคลากรในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ข้อจำกัดด้านเตียง บุคลากร และงบประมาณ โรงพยาบาลจึงต้องคิดค้นรูปแบบการดูแลใหม่ ๆ ที่ไม่ผูกติดอยู่กับ “เตียงในโรงพยาบาล” เพียงอย่างเดียว หากแต่ขยายการดูแลสู่ชุมชนและครอบครัวอย่างเป็นระบบ
“ศูนย์ธรรมศาสตร์ ธรรมรักษ์” เป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนการแปลง “วิสัยทัศน์เชิงนโยบาย” ให้เป็น “การปฏิบัติจริง” โดยพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยระยะท้าย (Palliative Care) ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตและศักดิ์ศรีในช่วงสุดท้ายของชีวิต พร้อมทั้งพัฒนางานด้านการดูแลระยะยาวและการฟื้นฟูสมรรถภาพ (Long-term/Intermediate Care) สำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการการฟื้นฟูต่อเนื่อง แต่ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลใหญ่
การดูแลในลักษณะนี้จึงไม่ใช่เพียง “บริการทางการแพทย์” หากแต่เป็น “ห้องเรียนชีวิต” สำหรับนักศึกษาแพทย์ พยาบาล และบุคลากรสหสาขาวิชาชีพของธรรมศาสตร์ ที่ได้เรียนรู้จากผู้ป่วยจริง ครอบครัวจริง และปัญหาจริงของสังคมสูงวัยไทย เป็นการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงองค์ความรู้จากตำรากับบริบทจริงของสังคมไทยอย่างแท้จริง
เมื่อมองไปข้างหน้า บทบาทของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะไม่หยุดอยู่เพียงการเป็น “ผู้ให้บริการทางการแพทย์” หรือ “ผู้ผลิตบุคลากรสุขภาพ” เท่านั้น หากแต่ต้องก้าวไปสู่การเป็น “สถาบันออกแบบระบบ” (System Designer) ที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในการสร้างระบบการดูแลระยะยาวที่ไม่ปล่อย ให้ครอบครัวต้องเผชิญภาระลำพัง โรงพยาบาลไม่ต้องรองรับผู้ป่วยที่ควรได้รับการดูแลในรูปแบบอื่น และผู้สูงอายุทุกคนไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ท้ายที่สุด เมื่อเราพูดถึง “สังคมผู้สูงอายุ” เราไม่ได้พูดถึง “คนอื่น” แต่กำลังพูดถึงตัวเราเองในอนาคต รวมถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และคนรอบข้าง การออกแบบนโยบายและระบบรองรับสังคมสูงวัย จึงไม่ใช่เพียงการจัดสรรงบประมาณในเอกสาร แต่คือการตอบคำถามร่วมกันว่า
“เราต้องการเห็นสังคมไทยในวันที่เราแก่ตัวลง เป็นสังคมแบบใด”
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์อาจไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดของประเทศได้เพียงลำพัง แต่สามารถเป็น “ตัวอย่างที่จับต้องได้” ว่าประเทศไทยสามารถดูแลผู้สูงอายุด้วยวิธีที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ใช้องค์ความรู้และนวัตกรรมอย่างเหมาะสม และไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ในฐานะนายกสภามหาวิทยาลัย ผมเชื่อว่า ภารกิจของธรรมศาสตร์ในยุคสังคมสูงวัย คือการยืนเคียงข้างผู้สูงอายุไทยในทุกมิติ ตั้งแต่การผลิตความรู้ การผลิตคน การออกแบบระบบ ไปจนถึงการดูแลผู้สูงอายุจริงในโรงพยาบาล ชุมชน และครอบครัว เพื่อให้คำว่า
“ธรรมศาสตร์เพื่อประชาชน”
ยังคงมีความหมายอย่างแท้จริง
ในวันที่สังคมไทยก้าวเข้าสู่ยุคผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว
บทความโดย :
ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล นิติไกรพจน์
นายกสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ปฐกถาในวันสถาปนาศูนยธรรมศาสตร์ธรรมรักษ์

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา