
"...รัฐบาลผสมต้องมีพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และต้องมีพรรคที่เป็นตัวประกอบยอดเยี่ยม ในทางทฤษฎีการเลือกตั้ง หมายถึง การมี “พรรคที่ชี้ขาดตัดสิน (pivotal party) การรวมตัวกันเป็นรัฐบาลผสม” หมายความว่า หากพรรคนี้ตัดสินเลือกแกนนำฝั่งใดแล้ว ฝั่งนั้นจะเป็นรัฐบาล..."
1. ฐานคติเบื้องต้น
ผลการเลือกตั้งครั้งต่อไปในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ไม่น่าจะมีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
สาเหตุเพราะการได้เสียงข้างมากเป็นรัฐบาลพรรคเดียว เป็นเรื่องยากมากสำหรับประเทศไทย เนื่องจากคนไทยคุ้นชินกับระบบหลายพรรคมานาน และนิยมเลือก ส.ส. กระจายไปตามพรรคต่าง ๆ หลายพรรคด้วยกัน
ในอดีตเคยมีพรรคไทยรักไทยได้เสียงข้างมากจากการเลือกตั้งทั่วไป แต่เป็นข้อยกเว้น เพราะการใช้นโยบายประชานิยมของคุณทักษิณ
แต่ปัจจุบัน คนไทยก็เริ่มลืมคุณทักษิณเพราะเวลาผ่านไปนานมากแล้ว อีกทั้งรัฐบาลสมัยต่อ ๆ มา ทุกยุคทุกสมัยต่างใช้นโยบายประชานิยมด้วยกัน จนกระทั่งนโยบายประเภทแจก-แถม นี้ ขาดความเด่นและไม่มีใครผูกขาดความเป็นเจ้าของ
การเลือกตั้งครั้งต่อไป คงไม่มีกระแสผลักดันให้พรรคใดได้รับความนิยมเป็นพิเศษ ไม่ว่ากระแสฝ่ายซ้ายหรือฝ่ายขวา ได้แก่ กระแสชาตินิยม กระแสการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และกระแสทุนเทาหรือการปราบองค์กรอาชญากรรม หรือแม้แต่กระแสการตอบสนองต่อปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่ เนื่องจากเหตุผลต่อไปนี้
(1) กระแสชาตินิยมอาจมีผลให้ “ทหาร” มีความสำคัญและได้รับความนิยมมากขึ้น ขณะเดียวกันอาจกระตุ้นให้คนทั่วไปรักประเทศตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จังหวัดชายแดนเกือบทุกแห่ง จะได้ยินคนก่นด่า “เขมร” แต่ก็ไม่น่าเพียงพอที่จะเป็นแรงผลักดันให้เกิดกระแสขนานใหญ่ทั้งประเทศ ตรงกันข้ามจะยิ่งทำให้การออกเสียงเลือกตั้งแตกแยกออกจากกันเป็นกลุ่ม ๆ และกระจายออกไปมากขึ้น
(2) กระแสแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เป็นกระแสที่สร้างความสับสนให้คนในชาติมากที่สุด แม้แต่อาจารย์สอนรัฐธรรมนูญเอง ซึ่งธรรมชาติเป็นพวกต่อต้านรัฐบาลอยู่แล้ว ยังเกิดความรู้สึกว่า การแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ดูน่าจะเป็นไปได้มากกว่า
จึงไม่ต้องพูดถึงชาวบ้านที่กำลังงุนงงกับการกระทำของนักการเมือง ที่เขารู้สึกว่าเป็นพวกเพ้อเจ้อ และหมกมุ่นอยู่กับ “การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ” โดยหาคำอธิบายไม่ได้
การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับจึงไม่น่าจะสร้างความนิยมให้กับพรรคประชาชนได้ ตรงกันข้าม น่าจะเป็นความล้มเหลวมากที่สุดที่พรรคเคยประสบ
(3) กระแสทุนเทาและการปราบปรามองค์กรอาชญากรรม ตอนแรกเหมือนจะดีที่พุ่งโจมตีไปที่นักการเมืองในรัฐบาลบางคน แต่ข้อมูลไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะเอาโทษกับใครได้ กลายเป็นการกล่าวหากันเลื่อนลอย
เมื่อเวลาผ่านไป คนกลับเห็นว่าจุดที่เป็นปัญหามากที่สุดเป็น “ตำรวจ” ครั้นเมื่อขยายการโจมตีออกไป คนก็เริ่มมองเห็นว่า “ปัญหาองค์กรอาชญากรรมเป็นปัญหาระดับนานาชาติ”
ประเทศไทยจำเป็นต้องมี “เจ้าภาพ” และ “แผน” แก้ปัญหาชัดเจน มากกว่าแค่ “หาแพะ” และ “หาเสียง”
(4) กระแสน้ำท่วมหาดใหญ่และจังหวัดอื่นในภาคใต้ แม้ว่ามีปัญหาการเตือนภัย (Warning) และการจัดการตอบสนองต่อน้ำท่วม (Flood Response) ที่ไม่ดีเอาเสียเลย
แต่ก็สงสัยว่าเป็นความรับผิดชอบของใคร เช่น รัฐบาลที่กรุงเทพฯ หรือหน่วยงานพยากรณ์อากาศ การป้องกันสาธารณภัย หรือท้องถิ่น หรือว่าเป็นความล้มเหลวของระบบโดยรวมของประเทศไทย
กรณีน้ำท่วมหาดใหญ่ เป็นน้ำท่วมประเภทที่ไหลทะลักมารวดเร็ว (Flash Flood) ไม่ใช่น้ำล้นตลิ่ง (Riverine Flood) ที่มองเห็นได้ชัด อีกทั้งประเทศไทยไม่เคยมีประสบการณ์ และไม่เคยมีระบบการเตือนภัยชนิดนี้มาก่อน ดังเห็นได้จากวิธีการวัดระดับน้ำขึ้น-น้ำลงของนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ และการไม่กล้าออกคำสั่งอพยพผู้คน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก หากนายกรัฐมนตรีนครหาดใหญ่ออกคำสั่งเตือนภัยผิด ก็จะกลายเป็น “เด็กเลี้ยงแกะ” (Cry Wolf Syndrome)
ถึงกระนั้นเมื่อน้ำลดและคนใจเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว รัฐบาลคงตอบสนองด้วยการฟื้นฟูและชดเชยค่าเสียหายได้ดีกว่าการจัดการน้ำท่วมที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะช่วยดึงคะแนนเสียงของรัฐบาลกลับมาได้ในระดับหนึ่ง
ในที่สุด เมื่อไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมาก รัฐบาลชุดต่อไปก็ต้องเป็น “รัฐบาลผสม” (Coalition Government)
2. ตัวประกอบยอดเยี่ยม
รัฐบาลผสมต้องมีพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และต้องมีพรรคที่เป็นตัวประกอบยอดเยี่ยม ในทางทฤษฎีการเลือกตั้ง หมายถึง การมี “พรรคที่ชี้ขาดตัดสิน (pivotal party) การรวมตัวกันเป็นรัฐบาลผสม” หมายความว่า หากพรรคนี้ตัดสินเลือกแกนนำฝั่งใดแล้ว ฝั่งนั้นจะเป็นรัฐบาล
ตัวอย่าง ในเยอรมันตั้งแต่ทศวรรษ 1950 ถึงต้นทศวรรษ 1980 พรรคที่เป็นแกนนำมีสองพรรค คือ พรรคคริสเตียน (CDU/CSU) กับพรรคสังคมนิยม (SPD)
ส่วนพรรคที่เป็นตัวประกอบเข้ามาชี้ขาดการเป็นรัฐบาลผสม มี 3 พรรค ได้แก่ พรรค Free Democratic Party หรือ FDP, พรรคกรีน (Greens) และพรรค PDS/Die Linke
เดิมพรรค EDP จะเป็นตัวชี้ขาดว่าจะร่วมกับพรรคใด ต่อมาหลังปี 1981 ก็ลดบทบาทลง เปลี่ยนมาเป็นพรรคกรีนส์ และพรรค PDS/Die Linke
ทางด้านอุดมการณ์ การรวมเป็นรัฐบาลผสมตอนแรกเป็นไปตามอุดมการณ์ (ideology seeking) คือ พรรคกรีนส์ก็จะเลือกผสมกับพรรคสังคมนิยม แต่ตอนหลังพรรคกรีนส์ยอมไปผสมกับพรรค คริสเตียน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวา โดยเฉพาะตอนหลัง ๆ มานี้พรรคกรีนส์และพรรคที่สามต่อรองการร่วมรัฐบาลมาก พรรคแกนนำ คือ พรรคคริสเตียนกับพรรคสังคมนิยมก็ยอมรวมตัวกันเองเป็นรัฐบาลผสมเสียเอง
ส่วนกรณีของไทย การผสมกันเป็นรัฐบาลไม่ค่อยคำนึงถึงอุดมการณ์และนโยบาย ขึ้นอยู่กับการต่อรองตำแหน่ง (office seeking) มากกว่าอย่างอื่น
คนไทยรู้จักมานาน ได้แก่ กรณีพรรคชาติไทย ซึ่งมีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นหัวหน้าพรรคที่มีบทบาทนักต่อรองคนสำคัญและเป็นตัวประกอบยอดเยี่ยมมาตลอด ตอนหลังมา เป็นพรรคภูมิใจไทย โดยมีคุณอนุทินกับคุณเนวิน ฝาแฝดสยามอินจันคู่ใหม่ เป็นนักต่อรอง
พรรคแกนนำของไทยไม่แน่นอน เช่น พรรคไทยรักไทยเคยเป็นแกนสำคัญ หรือพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล หรือพรรคพลังประชารัฐก็เคยเป็นแกนนำ ครั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ
การเมืองไทยเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ที่เห็นชัดที่สุด คือ พรรคเพื่อไทย ซึ่งเคยเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาล แต่มีแนวโน้มว่าครั้งใหม่จะได้รับเลือกตั้งน้อยลง
ปัญหาอยู่ที่พรรคที่เคยใหญ่ แล้วต่อมาเล็กลง จะยอมลดบทบาทของตัวเองจาก “พระเอก” เป็น “ตัวประกอบ” ได้หรือไม่ และจะผสมกับใครและได้วางแผนไว้แล้วหรือไม่ อย่างไร
3. ตัวเลขและอำนาจต่อรองกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
ตัวเลขเก้าอี้ส.ส.ที่คาดการณ์กันในขณะนี้ว่าจะเป็นแกนนำ ได้แก่ พรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน โดยมีพรรคเพื่อไทย และพรรคอื่น เช่น พรรคกล้าธรรม เป็นตัวประกอบ
แต่ทั้งนี้อยู่บนสมมติฐานที่ว่า พรรคอื่นที่เป็นตัวประกอบ เช่น กล้าธรรม พลังประชารัฐ ประชาธิปัตย์ ฯลฯ เขาตั้งใจที่จะเป็น “ตัวประกอบ” อยู่แล้วไม่อิดออด
พรรคเหล่านี้จึงไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาลผสม คงพร้อมร่วมรัฐบาลผสมกับแกนนำฝ่ายใดก็ได้ หรือคง “มีธงอยู่ในใจ” แล้วว่าจะยอมร่วมกับฝ่ายใด
ปัญหาการเลือกจัดตั้งรัฐบาลผสม จึงตกอยู่ที่สามพรรค ดังที่คนคาดการณ์กันในขณะนี้ คือ
(1) พรรคเพื่อไทย ถ้าได้เสียงไม่พอจัดตั้งเป็นรัฐบาล จะเลือกชี้ขาดรวมกับภูมิใจไทยหรือประชาชน
(2) พรรคประชาชน ถ้าได้เสียงไม่พอจัดตั้งรัฐบาล จะเลือกชี้ขาดรวมกับเพื่อไทยหรือภูมิใจไทย
(3) พรรคภูมิใจไทย ถ้าได้เสียงไม่พอจัดตั้งรัฐบาล จะเลือกชี้ขาดรวมกับพรรคเพื่อไทยหรือประชาชน
ขยายความการเลือกข้างต้น ดังนี้
กรณีแรก หากพรรคประชาชนเป็นแกนนำ จะเกิดปัญหาว่า พรรคนี้ยากจะรวมกับพรรคอื่นได้
เนื่องจากเคยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้ว 2 เหตุการณ์
เหตุการณ์แรก ตอนจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาชนในนามพรรคก้าวไกล เคยได้เสียงข้างมากมาแล้ว แต่จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ส่วนสาเหตุนั้น สรุปจากคำพูดของคุณทักษิณที่เคยหาเสียงที่เมืองเหนือว่า “เพราะเข้ากับใครไม่ได้”
เหตุการณ์ที่สอง เมื่อคุณแพทองธาร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ พรรคประชาชนก็ยังเป็นพรรคเสียงข้างมากอีก
แต่พรรคประชาชนก็ยังไม่ยอมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะคุณพิธาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคถูกตัดสิทธิไปแล้ว พรรคตัดสินใจเลือกวิธีทำ MOA ยอมให้พรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลแทน แต่คอยบังคับให้พรรคภูมิใจไทยทำตาม MOA โดยเฉพาะการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ
ปัญหา คือ ถ้าหากพรรคประชาชนเป็นแกนนำแล้ว พรรคนี้จะดึงดันการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองขนานใหญ่อยู่ต่อไป เช่น การปฏิรูปทหารและระบบราชการ พรรคประชาชนจะได้รับการยอมรับจากทหารและระบบราชการเพียงใด และอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น เช่น การบริหารบ้านเมืองจะราบรื่นหรือไม่ และประสบความสำเร็จตามที่คุยเอาไว้หรือไม่
กรณีที่สอง หากพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำ และรวมกันกับพรรคอื่น ๆ แล้ว ยังไม่พอจัดตั้งรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยคงมีทางเลือก 3 ทาง คือ
ทางเลือกแรก ยอมหันไป “จูบปาก” กับพรรคเพื่อไทย ลืมเรื่องราวบาดหมางครั้งเก่า แล้วเริ่มต้นกันใหม่ ปัญหาอยู่ที่ทั้งสองพรรคจะลืมเรื่องราวง่าย ๆ จนถึงขั้นเป็นอัลไซเมอร์หรือไม่
ทางเลือกที่สอง ยอมมีไมตรีกับพรรคประชาชน จัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน และยอมให้พรรคประชาชนชี้นำทางนโยบาย (policy seeking) ต่อไป ส่วนการเปลี่ยนแปลงข้างหน้า ยอมตามพรรคประชาชน อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด
ทางเลือกที่สาม ยอมร่วมกับพรรคประชาชน แต่เลือกวางตัวเป็นผู้ชี้ขาดที่ใช้ยุทธศาสตร์ป้องปราม (pivotal deterrence) เพื่อไม่ให้พรรคประชาชนใช้นโยบายเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดความรุนแรงต่อชาติบ้านเมือง
ปัญหาตามมาอีกว่า พรรคประชาชนจะเห็นพรรคภูมิใจไทยเป็นผู้ป้องปรามที่พอจะเชื่อฟังได้หรือไม่ และอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
ปัญหาของประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ จึงอยู่ที่ทั้งสามพรรคต่างต้องการเป็น “พระเอก” ไม่มีใครยอมเป็น “ตัวประกอบยอดเยี่ยม”
ทว่าภาพยนตร์ที่จะนำออกมาฉายในเร็ว ๆ นี้ “มีพระเอกได้คนเดียว”
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา