
"...ในสังคมการเมือง เงินสกปรกถูกใช้หว่านซื้อเสียงในการเลือกตั้ง และซื้อตัวนักการเมืองมาเข้าสังกัด จนทำให้คนมีประวัติอาชญากรรม ทำธุรกิจผิดกฎหมาย เป็นบ้านใหญ่คุมการโกงประมูลงานราชการ ลอยหน้าขึ้นเป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส. มีตำแหน่งในคณะกรรมาธิการ คณะกรรมการหน่วยงานรัฐ บางคนถึงขนาดได้เป็นประธานการปราบปรามสแกมเมอร์ ปราบผู้มีอิทธิพลและค้ามนุษย์...ชวนสงสัยว่า ทั้งคนแต่งตั้งและคนรับตำแหน่ง ไม่รู้จักละอาย ไม่สำนึกผิดถูกชั่วดี เลยหรือเมื่อโจรใหญ่กลายร่างเป็นผู้ดีมีเกียรติสูง ย่อมทำให้ผู้คนในอาณาจักรธุรกิจมืดต้องหวั่นเกรง ยอมเป็นพวกหรือส่งส่วยแบ่งผลประโยชน์ให้ ไม่ต่างจากองค์กรอาชญากรรม (Organized Crime)..."
คอร์รัปชันที่อันตรายกว่า สินบนเงินใต้โต๊ะที่เรารู้จักกัน คือพฤติกรรมที่เรียกว่า “การยึดกุมรัฐ” (State Capture) เพราะเกิดจากการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระยะยาว ระหว่าง “กลุ่มทุน” กับ “เจ้าหน้าที่รัฐ” ผู้กุมโครงสร้างส่วนบนของอำนาจรัฐ
แบบไหนคือ “การยึดกุมรัฐ”? ผมขอให้ความเห็นแยกเป็นสองกลุ่ม สองมิติ ได้แก่ กลุ่มยึดกุมรัฐในมิติเศรษฐกิจ และ กลุ่มยึดกุมรัฐในมิติการเมืองที่เข้มข้นขึ้นในสังคมไทย
กลุ่มแรก - กลุ่มยึดกุมรัฐในมิติเศรษฐกิจ หมายถึง กลุ่มทุนที่สามารถครอบงำรัฐบาลหรือหน่วยงานรัฐ เพื่อให้ตนมีอำนาจกำหนดทิศทางและนโยบายของรัฐที่สามารถขยายและปกป้องผลประโยชน์หรือการทำผิดของตน การเกิดของกลุ่มทุนสีเทาเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการผูกขาดตลาด ปล้นสาธารณประโยชน์ และเอาเปรียบรัฐ ดังที่อาจารย์สฤณี อาชวานันทกุล ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ และกูรูอีกหลายท่านเคยอธิบายไว้
“เกณฑ์บ่งชี้” ว่ากลุ่มธุรกิจใดมีอิทธิพลมากถึงขนาด “ยึดกุมรัฐ” ได้ ประการสำคัญคือ เป็นกลุ่มธุรกิจที่สามารถครอบงำองค์กรรัฐที่มีอำนาจกำกับดูแลนโยบายและทรัพยากรของรัฐ และสามารถปกป้องหรือเอื้อให้เกิดผลประโยชน์ทางธุรกิจขนาดใหญ่ได้ เช่น
(1) “สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า” (กขค.) หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้า
(2) “สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ” (กสทช.) หน่วยงานดูแลเรื่องกิจการด้านวิทยุ โทรทัศน์ สื่อสาร และโทรคมนาคม
(3) “คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน” (กกพ.) หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลการประกอบกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ เพื่อให้เกิดความมั่นคงและความเป็นธรรมในภาคพลังงาน
วิธีสร้างอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายรัฐ (รัฐบาล – หน่วยงานรัฐ) จะดำเนินการผ่านการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์และระบบอุปถัมภ์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลไกการเมืองมักเริ่มจากการกำหนดตัวบุคคลให้ไปเป็นผู้มีอำนาจในกลไกรัฐ เช่น เป็นรัฐมนตรีหรือผู้บริหารหน่วยงานรัฐ ที่มีบทบาทในการสร้างเงื่อนไข การยับยั้ง หรือบิดเบือนนโยบายของรัฐ กฎกติกา และการใช้ดุลยพินิจที่ให้คุณให้โทษ
คู่ขนานกันไปคือแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารระดับต่างๆ หรือไม่ก็เข้าไปมีบทบาทเข้มข้นในการชี้นำความคิดเจ้าหน้าที่รัฐ
“นี่คือการควบคุมในระดับโครงสร้างส่วนบนของอำนาจรัฐ
ซึ่งมีเพียงสองบริษัทที่ทำได้และทำอยู่ คือบริษัทเจ้าพ่อพลังงาน
กับ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสื่อสารที่มีเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ด้วย”
กลุ่มธุรกิจเหล่านี้มุ่งทำ “ตลาดในประเทศ” เป็นหลัก เพราะทำกำไรมากและง่าย ดังนั้นนอกจากทำให้ประชาชนในฐานะผู้บริโภคถูกเอาเปรียบอย่างหนักแล้ว ในระยะยาวอำนาจและการผูกขาด จะทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมไม่พัฒนา ทำลายศักยภาพการแข่งขันของชาติจนเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมล้าหลัง
กลุ่มที่สอง - กลุ่มยึดกุมรัฐในมิติการเมือง ปัจจุบันมักหมายถึง คนหรือเครือข่ายที่สามารถสร้างอำนาจทางการเมืองจนเกิดอิทธิพลเหนือเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยใช้ “เงินสกปรก” จากทุนเทา สแกมเมอร์ พนันออนไลน์ เงินฟอก ยาเสพติด ค้ามนุษย์ และคอร์รัปชัน ไปสร้างเครือข่ายกับชนชั้นนำในแวดวงราชการ การเมือง กระบวนการยุติธรรม และองค์กรอิสระ เพื่อ "สร้างเกราะคุ้มกัน ซื้ออำนาจและเปลี่ยนกติการัฐเสียใหม่"
ในสังคมการเมือง เงินสกปรกถูกใช้หว่านซื้อเสียงในการเลือกตั้ง และซื้อตัวนักการเมืองมาเข้าสังกัด จนทำให้คนมีประวัติอาชญากรรม ทำธุรกิจผิดกฎหมาย เป็นบ้านใหญ่คุมการโกงประมูลงานราชการ ลอยหน้าขึ้นเป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส. มีตำแหน่งในคณะกรรมาธิการ คณะกรรมการหน่วยงานรัฐ บางคนถึงขนาดได้เป็นประธานการปราบปรามสแกมเมอร์ ปราบผู้มีอิทธิพลและค้ามนุษย์...
ชวนสงสัยว่า ทั้งคนแต่งตั้งและคนรับตำแหน่ง ไม่รู้จักละอาย ไม่สำนึกผิดถูกชั่วดี เลยหรือ
เมื่อโจรใหญ่กลายร่างเป็นผู้ดีมีเกียรติสูง ย่อมทำให้ผู้คนในอาณาจักรธุรกิจมืดต้องหวั่นเกรง ยอมเป็นพวกหรือส่งส่วยแบ่งผลประโยชน์ให้ ไม่ต่างจากองค์กรอาชญากรรม (Organized Crime)
การยึดกุมรัฐด้วยการใช้เงินบาปเป็นเครื่องฟอกตัวและซื้ออำนาจรัฐ กำลังเป็นอันตรายที่ต้องระวัง มากกว่าการที่กลุ่มธนกิจการเมือง (Money Politic) ที่ทุ่มเงินซื้อเสียงเลือกตั้งหรือซื้อตัวนักการเมืองแล้วถอนทุนคืน อย่างที่เราคุ้นเคยมานาน
กระบวนการเช่นนี้ทำให้หลักนิติรัฐและหลักสิทธิมนุษยชนของไทยดูไร้ค่า
บทส่งท้าย
เราจะยอมรับได้อย่างไร!! .. ว่า “การยึดกุมรัฐ” เป็นเรื่องปรกติ ในเมื่อจุดเริ่มต้นของมันคือ “การเอาเงินผิดกฎหมายไปติดสินบน แล้วยกระดับเป็นเครือข่ายอุปถัมภ์อุ้มชูกัน” จนทำลายความเป็นนิติรัฐ ละเมิดสิทธิมนุษยชน และกัดกินบ้านเมืองด้วยคอร์รัปชันที่ร้ายแรงขึ้นอีกในอนาคต
อะไรทำให้ประเทศไทยหละหลวมจนล้มเหลวได้ปานนี้ คุณผู้อ่านคิดเห็นอย่างไรครับ
บทความโดย :
มานะ นิมิตรมงคล
ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
24 พฤศจิกายน 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา