"...การที่นายกอนุทินฯ ให้สัมภาษณ์ในวาระต่างๆ ในลักษณะแข็งกร้าวและแสดงเจตนารมณ์ที่จะยกเลิกคำประกาศร่วมสันติภาพไทย-เขมร นั้น ตามข้อเท็จจริงหากจะยกเลิกจะต้องมีหนังสือแจ้งเป็นทางการไปยังผู้เกี่ยวข้องคำพูดอย่างเดียวยังไม่ถือว่าเป็นการ..."
จากความสับสนไม่ชัดเจนในสายตาของสาธารณชนว่ารัฐบาลมีท่าทีในการดำเนินการเรื่องปัญหากับเขมรอย่างไรแน่นั้น ผมอยากเสนอข้อคิดเห็นเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้นในหมู่สาธารณชนและเผื่อผู้ที่เกี่ยวข้องอาจพิจารณานำไปใช้ประโยชน์ตามสมควร ดังนี้
• การที่นายกอนุทินฯ ให้สัมภาษณ์ในวาระต่างๆ ในลักษณะแข็งกร้าวและแสดงเจตนารมณ์ที่จะยกเลิกคำประกาศร่วมสันติภาพไทย-เขมร นั้น ตามข้อเท็จจริงหากจะยกเลิกจะต้องมีหนังสือแจ้งเป็นทางการไปยังผู้เกี่ยวข้องคำพูดอย่างเดียวยังไม่ถือว่าเป็นการ
• คำพูดที่ดูเหมือนไม่สนใจพันธกรณีใดๆที่ทำไว้ และความเห็นของต่างชาติไม่ว่าจะยิ่งใหญ่มาจากไหนนั้นสามารถอธิบายได้ว่าเป็นคำพูดเพื่อสื่อกับผู้ฟังที่เป็นประชาชนของตนหรือภาษาในวงการการทูตเรียกว่า for domestic consumption ที่ประเทศประชาธิปไตยทั่วไปสามารถเข้าใจได้ว่ามีลักษณะปลุกเร้าให้ประชาชนเชื่อใจในรัฐบาลคล้ายคำพูดช่วงหาเสียงที่ไม่ควรมีการนำมาเป็นประเด็นว่ากล่าวกันในเวทีระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ผู้ติดตามสถานะการณ์ไทย-เขมรใกล้ชิดย่อมรับทราบดีว่ากระแสความรู้สึกของคนไทยต่อพฤติกรรมเขมรขณะนี้เป็นอย่างไร
• การที่สำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) แจ้งขอระงับการเจรจาความตกลงเรื่องตารางภาษีนำเข้ากับไทยไว้ชั่วคราว ซึ่งต่างจากท่าทีของประธานาธิบดีทรัมป์ที่คุยทางโทรฯ กับนายกรัฐมนตรีไทยนั้น ต้องถือว่าท่าทีตามแนวทางของทรัมป์เป็นท่าทีสูงสุด และกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพาณิชย์ต้องรีบเอาคำพูดของทรัมป์ไปคุยกับ USTR เพื่อให้มีการเจรจาต่อไป (เป้าหมายคือ ให้เจรจาความตกลงสุดท้ายเรียบร้อยก่อนสิ้นปี)
• จากท่าทีของทรัมป์ที่คุยกับนายกอนุทินแสดงให้เห็นว่า ทรัมป์มองว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้เรียบร้อยจะเป็นผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมของความตกลงสันติภาพ ดังนั้น รัฐบาลไทยจึงควรใช้จังหวะนี้ในการเข้าดำเนินงานเก็บกู้ฯใน 13 พื้นที่ตามที่เรากำหนด โดยหากฝ่ายเขมรไม่ร่วมมือเราก็พร้อมทำฝ่ายเดียวและแสดงพร้อมใช้กำลังในกรณีที่มีการขัดขวางการดำเนินงาน โดยถือเป็นการดำเนินงานตามเจตนารมณ์ในคำประกาศร่วมฯ และตามที่หารือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ
• การปราบปรามสแกมเมอร์และการผลักดันครอบครัวเขมรให้ออกจากเขตแดนไทยก็เป็นสิ่งที่ควรทำควบคู่ไปกับการเก็บกู้ทุ่นระเบิดได้ เพราะถือว่าเป็นความพยายามที่จะปฏิบัติตามคำประกาศร่วมฯ โดยฝ่ายไทย ทั้งนี้ ควรต้องประกาศให้ฝ่ายเขมรรับทราบอย่างเปิดเผยว่าเป็นพันธะผูกพันที่จะต้องร่วมมือด้วยดีห้ามบิดพริ้ว (เพื่อแสดงว่าเราเป็นผู้กำหนดแนวทางการปฏิบัติตามคำประกาศร่วมฯ ไม่ใช่คอยรับฟังคำสั่งต่างชาติ)
• สำหรับท่าทีของมาเลเซียที่แสดงความเห็นใจเขมรแบบออกนอกหน้านั้น ฝ่ายไทยควรใช้โอกาสการออกข่าวบิดเบือนข้อเท็จจริงของสำนักข่าวเบอร์นามา ที่ระบุว่าระเบิดที่พบเป็นระเบิดเก่า แม้ว่าจะมาแก้ข่าวภายหลังแต่ก็ใช้เหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพื่อประท้วงรัฐบาลมาเลเซียอย่างจริงจังไม่ควรปล่อยเลยตามเลย
ทั้งนี้ เนื่องจากเบอร์นามาเป็นสำนักข่าวทางการ และเป็นการอ้างคำสัมภาษณ์รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ดังนั้น รัฐบาลมาเลเซียจึงเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้และมีผลกระทบกระเทือนภาพลักษณะของการเป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ยในนามอาเซียนโดยตรง
พร้อมกันนั้นรัฐบาลไทยอาจจะพิจารณาส่งทีมไปหารือกับฟิลิปปินส์ในฐานะที่จะต้องรับตำแหน่งประธานอาเซียนต่อจากมาเลเซียตั้งแต่ 1 ม.ค. 2569 โดยข้ออ้างว่าเพื่อให้ทำงานได้ต่อเนื่องทันทีที่รับตำแหน่งและเพื่อเป็นสัญญลักษณ์ความไม่พอใจต่อบทบาทมาเลเซียในเรื่องนี้
บทความ โดย
เจษฎา กตเวทิน
16 พ.ย. 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา