
"...ในส่วนของรัฐบาลไทยเองการเตรียมรับมือสำหรับการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ เป็นโจทย์ใหญ่ที่นิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ เพราะภายใต้ความไม่แน่นอนแบบนี้จะเป็นโอกาสให้ประเทศที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างมูลค่าในสายตาสหรัฐฯ ได้มากที่สุดก็จะได้ดีลใหม่ที่ดีกว่าประเทศอื่น..."
เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ได้มีการแถลงปิดคดีของโจทก์(กลุ่มบริษัทขนาดเล็ก/กลาง และรัฐบาลมลรัฐ 12 แห่ง)และจำเลย(รัฐบาลกลาง) ในคดีพิจารณาความถูกต้องตามรัฐธรรมนูญของมาตรการภาษีนำเข้า(tariffs)โดยรัฐบาลประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งถือเป็นคดีสำคัญที่ต้องบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯและคาดกันว่าศาลฯ จะมีคำตัดสินได้ภายในเวลา 2-4 เดือนหรือก่อนหน้านั้น
รัฐบาลทรัมป์ให้ความสำคัญ อย่างยิ่งกับการใช้ภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายแทบทุกด้าน ตั้งแต่การลดการขาดดุลย์การค้า การกระตุ้นการลงทุนในประเทศ ไปจนถึงการสร้างอำนาจต่อรองในการเจรจาการเมืองระหว่างประเทศและการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง (เช่นกรณีไทย-เขมร) แต่ปัญหาคือ โดยปรกติอำนาจในการหารายได้เข้าประเทศและการจัดเก็บภาษีถือเป็นอำนาจเด็ดขาดของรัฐสภา ตามหลักการแบ่งอำนาจบริหาร-นิติบัญญัติ-ตุลาการในระบอบประชาธิปไตย แต่ในการดำเนินการครั้งนี้ไม่ได้นำเรื่องผ่านสภา
เดิมนายทรัมป์ประกาศว่าจะไปรับฟังการให้การด้วยตัวเอง ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไปนั่งรับฟังการพิจารณาคดีของศาลสูงสุด แต่สุดท้ายก็มอบหมายให้รัฐมนตรีคลังและรัฐมนตรีพาณิชย์ พร้อมด้วยหัวหน้าผู้แทนการค้า (US Trade Representative)ไปร่วมรับฟังแทน ซึ่งก็ถือว่าเป็นกรณีพิเศษมากเช่นกัน
มาตรการภาษีนำเข้าเพื่อตอบโต้ประเทศต่างๆ (Reciprocal Tariffs) ประกาศใช้เมื่อเดือนเม.ย. 2568 เป็นมาตรการที่ออกตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศภายใต้ภาวะฉุกเฉิน หรือ International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ซึ่งประเทศไทยถูกเรียกเก็บอยู่ 19% ในขณะนี้
หากศาลสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า การเรียกเก็บภาษีนำเข้าดังกล่าวมีลักษณะที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็จะส่งผลให้ตารางภาษีดังกล่าวถูกยกเลิกทันทีและต้องกลับไปใช้อัตราภาษีที่เคยเก็บอยู่เดิม หรือหากศาลฯ พิจารณาเห็นว่า รัฐบาลกลางสามารถใช้อำนาจตามกฎหมาย IEEPA ได้กับสินค้าเฉพาะรายการและเฉพาะประเทศเท่านั้น (ไม่สามารถบังคับใช้เป็นการทั่วไป) ก็ต้องมาจัดทำตารางภาษีนำเข้ากันใหม่หมด อันจะก่อความโกลาหลในการค้ากับสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดสินค้าใหญ่ที่สุดของโลก และอำนาจต่อรองในเวทีระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ในเรื่องต่างๆ ก็จะหดหายไปในพริบตา รวมถึงความยุ่งยากในการคืนเงินภาษีนำเข้าที่ได้จัดเก็บไปแล้วคืนให้ภาคธุรกิจ
ประเด็นสำคัญในการพิจารณาของศาลสูงสุดอยู่ที่การตีความว่า การกำหนดอัตราภาษีนำเข้าเป็นการทั่วไปที่รัฐบาลกลางทำอยู่นี้เป็นการใช้อำนาจเกินขอบเขตจากที่ให้ไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ กำหนดไว้ชัดเจนว่า เรื่องเกี่ยวกับภาษีอากรให้เป็นอำนาจเด็ดขาดของฝ่ายนิติบัญญัติ และการอ้างกฏหมายว่าด้วยอำนาจเศรษฐกิจระหว่างประเทศภายใต้ภาวะฉุกเฉิน (IEEPA) ซึ่งมิได้ระบุคำว่า ภาษีนำเข้า (tariff) ไว้ชัดแจนนั้นเป็นการตีความเกินขอบเขตรัฐธรรมนูญหรือไม่
ทั้งนี้ ในบรรดาตุลาการศาลสูงสุด 9 คน มีที่เป็นหัวก้าวหน้า 3 คน ที่เหลือ 6 คนเป็นผู้ที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ซึ่งที่ผ่านมามักจะมีคำตัดสินโน้มเอียงไปทางด้านรัฐบาล อย่างไรก็ตามในการพิจารณาเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้ามเส้นแบ่งทางอุดมการณ์ระหว่างเสรีนิยมก้าวหน้า-อนุรักษ์นิยม แต่เป็นหลักการพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยที่ระบุให้มีการแบ่งอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร-ฝ่ายนิติบัญญัติ-ฝ่ายตุลาการ ทำให้ตุลาการสายอนุรักษ์นิยม 2-3 ท่านมีแนวโน้มที่จะเห็นว่าการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าเป็นเรื่องเดียวกับภาษีอากร จึงควรต้องรับความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน
ในบรรดาประเด็นปัญหาทางกฎหมายของรัฐบาลสหรัฐฯปัจจุบัน (อาทิ การส่งตัวผู้ลี้ภัยออกนอกประเทศ การระงับเงินสนับสนุนมหาวิทยาลัยชั้นนำ หรือการส่งทหารเข้าไปทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในเมืองใหญ่) ปัญหาเรื่องภาษีนำเข้าดูเป็นเรื่องที่ฝ่ายรัฐบาลมีความกังวลที่สุด
ในส่วนของรัฐบาลไทยเองการเตรียมรับมือสำหรับการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ เป็นโจทย์ใหญ่ที่นิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ เพราะภายใต้ความไม่แน่นอนแบบนี้จะเป็นโอกาสให้ประเทศที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างมูลค่าในสายตาสหรัฐฯ ได้มากที่สุดก็จะได้ดีลใหม่ที่ดีกว่าประเทศอื่น
ดังนั้น เมื่อเกิดสถานะการณ์ที่ทำให้อัตราภาษี 19% ที่เดิมคิดว่าจบแล้ว กลายเป็นเรื่องที่ต้องวิ่งเจรจากันใหม่หมด ข้อเสนอเดิมที่เราให้ไว้กับสหรัฐฯ อาทิ การลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เหลือ 0% การนำเข้าสินค้าเกษตรและสินค้าพลังงาน หรือการซื้อเครื่องบิน ก็ควรต้องมาทบทวนกันใหม่ว่าจะยังเป็นประโยชน์สูงสุดกับเราอยู่หรือไม่ หรือแม้แต่เงื่อนไขในความตกลงปัญหาเขตแดนกับเขมร ที่ทำไปท่ามกลางความจำเป็นที่ต้องการรักษาอัตราภาษี 19% ที่เห็นชอบกันไว้แล้ว เมื่อปราศ จากแรงกดดันเรื่องภาษีสินค้าเข้าสหรัฐฯแล้วท่าทีเราในอนาคตอันใกล้ควรเป็นเช่นใด เรื่องเหล่านี้ต้องรีบหาคำตอบและดำเนินการเตรียมไว้โดยเร็วที่สุด เพราะในชั้นนี้ไม่มีใครทราบแน่นอนว่าผลการพิจารณาของศาลสูงสุดสหรัฐฯจะออกมาเมื่อไหร่
บทความโดย :
เจษฎา กตเวทิน
10 พ.ย. 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา