
"...ในขณะเกิดเหตุการณ์ที่นายเศรษฐาแต่งตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรี นางสาวแพทองธารยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นางสาวแพทองธารเป็นแต่เพียงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จึงไม่อยู่ในอำนาจไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ตาม พรป.ปปช.มาตรา 28 (1)..."
ตามที่สำนักข่างอิศรารายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2568 สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แถลงข่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตีตกไม่รับคำกล่าวหาของ กกต.กรณีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กระทำการในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในการพิจารณาคัดเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยมิชอบ
โดยเรื่องนี้มีผู้ร้องต่อ กกต.ว่านางสาวแพทองธาร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (ขณะที่ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี) ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของกรรมการบริหารพรรคการเมือง ซึ่งเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมในระดับเดียวกันกับ สส. สว. และ ครม.กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เสนอแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในโควต้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งนางสาวแพทองธาร ในฐานะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย จะต้องมีหน้าที่ในการคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้วย ซึ่งต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีนี้ว่านายเศรษฐา ผู้เสนอแต่งตั้งนายพิชิต เป็นผู้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จึงทำให้นางสาวแพทองธารในฐานะกรรมการบริหารพรรคจะต้องเป็นผู้ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงเช่นเดียวกับนายเศรษฐา ส่งผลให้นางสาวแพทองธารขาดคุณสมบัติในการเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา
โดยเรื่องนี้หลังจาก กกต.ได้รับคำร้องมาจากผู้ร้องแล้ว ได้ทำการสอบสวนหรือไต่สวนมาเป็นเวลามากกว่า 1 ปี ซึ่งน่าจะเห็นว่ามีมูลความผิด แต่เห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของตน จึงส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาในเวลาไม่นานว่า การกระทำฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ที่จะอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องเป็นพฤติการณ์ที่ได้กระทำในขณะดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่ปรากฏว่าการกระทำของนางสาวแพทองธารเกิดขึ้นในขณะที่ยังไม่ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีจึงมิใช่เป็นการกล่าวหาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตาม พรป.ปปช. พ.ศ. 2561 มาตรา 28 (1) ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติไม่รับคำกล่าวหาไว้พิจารณา
การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตีตกคำร้องของ กกต.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญด้วยกัน ทำให้อาจเห็นได้ว่าเป็นเพราะต่างฝ่ายต่างเห็นว่าไม่ใช่อำนาจหน้าที่ขององค์กรตนหรือไม่ หรือว่าเป็นกรณีที่ กกต.ต้องการส่งเรื่องที่ได้สืบสวนไต่สวนมาแล้วเป็นเวลามากกว่า 1 ปี ให้ไปถูกตีตกหรือไปดำเนินการในขั้นตอนต่อไปโดยองค์กรอิสระอื่น หรือเป็นเพราะ กกต.สะเพร่าหรือเผอเรอในข้อกฎหมายโดยไม่รู้ว่าอำนาจไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีเฉพาะกรณีผู้ถูกกล่าวหาเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เฉพาะที่เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สส. และ สว.ซึ่งกระทำความผิดในขณะที่ดำรงตำแหน่งเท่านั้น
จะเป็นเพราะเหตุใด จึงต้องไล่เรียงตั้งแต่ที่มาและเนื้อหาของคำร้องนี้ กระบวนการทำงานของ กกต.จนกระทั่ง กกต.ส่งเรื่องไปถูกตีตกที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ตามที่ปรากฏเป็นข่าวว่าเมื่อปลายปี 2567 ว่า คำร้องเรื่องนี้ยื่นต่อ กกต.โดยคณะนิติชน-เชิดชูธรรม เมื่อปลายเดือน ส.ค.2567 หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้นายเศรษฐาพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 ส.ค.2567 โดยคำร้องมีเนื้อหาว่า นาวสาวแพทองธาร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ในการคัดเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งทางการเมืองในนามพรรคเพื่อไทย ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่รอบคอบระมัดระวังและซื่อสัตย์สุจริต ด้วยการเห็นชอบให้เสนอบุคคล (นายพิชิต) ที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามเป็นรัฐมนตรี หรือได้ละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามข้อบังคับของพรรคเพื่อไทยในเรื่องการคัดเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งทางการเมือง และละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตาม พรป.พรรคการเมือง มาตรา 21 ในการคัดเลือกบุคคลซึ่งมีความรู้ความสามารถ ซื่อสัตย์สุจริต และมีคุณธรรม จริยธรรม เพื่อแต่งตั้งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยปล่อยให้นายเศรษฐานำรายชื่อบุคคลที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามกราบบังคมทูลเพื่อเสนอแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในโควต้าพรรคเพื่อไทย จึงเป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่กระทบถึงคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธารในเวลาต่อมา
ผู้ร้องเห็นว่า พฤติการณ์หรือการกระทำในอดีตของนางสาวแพทองธารขณะที่เป็นเพียงหัวหน้าพรรคเพื่อไทยก่อนเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตและฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงของกรรมการบริหารพรรคการเมือง ซึ่งเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมในระดับเดียวกันกับรัฐมนตรี ส่งผลให้นางสาวแพทองธารขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) ทำให้ความเป็นรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) จากการขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ โดยเป็นอำนาจของ กกต.ที่จะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 170 วรรคสาม เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธารพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งการขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี จะมาจากเหตุการณ์ในปัจจุบันหรือในอดีตก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะปฏิบัติหน้าที่ โดยเหตุการณ์ในอดีตจะแสดงให้เห็นถึงตัวตนของบุคคลนั้น
โดยเป็นคนละกรณีกับเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งมีอำนาจไต่สวนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สส. และ สว. ตาม พรป.ปปช.มาตรา 28 (1) เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามมาตรา 76 กรณีทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา ตามมาตรา 87 กรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งจะต้องเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นในขณะที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น
ในขณะเกิดเหตุการณ์ที่นายเศรษฐาแต่งตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรี นางสาวแพทองธารยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นางสาวแพทองธารเป็นแต่เพียงหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จึงไม่อยู่ในอำนาจไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ตาม พรป.ปปช.มาตรา 28 (1)
ผู้ร้องคือ คณะนิติชน-เชิดชูธรรม ไม่ได้ขอให้ กกต.ส่งเรื่องไปยัง คณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อไต่สวนตาม พรป.ปปช.มาตรา 28 (1) แต่ขอให้ กกต.ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ในขณะที่นางสาวแพทองธารยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของนางสาวแพทองธาร ที่มาจากเหตุการณ์ก่อนเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดย กกต.น่าจะเห็นว่าอยู่ในอำนาจของตนตั้งแต่เริ่มต้นสืบสวนไต่สวน จึงใช้เวลาสืบสวนไต่สวนผู้ที่เกี่ยวข้องมานานมากกว่า 1 ปี เพราะหากเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจของตนก็คงใช้เวลาไม่นานนับปี ซึ่งเมื่อ กกต.ไต่สวนแล้วเสร็จ (ซึ่งน่าจะเข้าสู่การพิจารณาของ กกต.ชุดใหญ่ 7 คน แล้ว) เห็นว่ามีมูลความผิดตามที่ถูกกล่าวหา แต่กลับส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.แทนที่จะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามอำนาจหน้าที่ในรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ทำให้ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช.ใช้เวลาไม่นานในการตีตกคำร้องนี้ ซึ่งไม่ใช่กรณีคำร้องไม่มีมูล แต่เป็นกรณีที่ กกต.ส่งเรื่องไปยังองค์กรที่ไม่มีอำนาจหน้าที่
การกระทำของ กกต.กรณีนี้ หากไม่ใช่มาจากเจตนาช่วยเหลือผู้ถูกกล่าวหา ก็อาจทำให้เห็นได้ถึงความสะเพร่าหรือความเผอเรอ อาจถึงขั้นเป็นความอ่อนด้อยต่อข้อกฎหมายของผู้เกี่ยวข้องใน กกต.อย่างไม่น่าให้อภัย โดยเมื่อใช้เวลาสืบสวนไต่สวนมานานนับปี หากเห็นว่าไม่มีมูลก็ควรสั่งยุติเรื่องโดยองค์กรของตนไปตั้งแต่แรก แต่หากเห็นว่ามีมูลที่เป็นความผิด ซึ่งได้ใช้เวลาไต่สวนที่ยาวนานมาแล้วก็ควรเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว ให้ทันเวลากับเหตุการณ์ที่เป็นเหตุแห่งการยื่นคำร้องและความประสงค์ของผู้ร้อง มิใช่ละเลยจนกระทั่งพ้นเวลาแล้วส่งไปให้องค์กรอิสระอื่นทำหน้าที่ตีตก
องค์กรอิสระแห่งนี้ถูกครหาอย่างรุนแรงมาโดยตลอดว่า ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่สอดคล้องกับหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย ใช้เวลาปฏิบัติหน้าที่เกินกว่าระยะเวลาที่เหมาะสม ออกระเบียบภายในกำหนดระยะเวลาการสืบสวนหรือไต่สวนไม่สอดคล้องกับระยะเวลาที่บัญญัติอยู่ในกฎหมายระดับพระราชบัญญัติหรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เช่นเรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งที่จะต้องบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยและจะต้องจดจำกันไปอีกนานแสนนาน ซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้คือ กรณีฮั้ว สว. ซึ่ง พรป.การได้มาซึ่ง สว.บัญญัติติว่า ก่อนประกาศผลการเลือก หากมีเหตุอันควรสงสัยว่าการเลือกมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้ กกต.ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ขึ้นใหม่แล้วแต่กรณี ซึ่ง กกต.กลับไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เลย แต่ได้ประกาศผลออกไปหลังการเลือกผ่านไปเพียง 10 กว่าวัน ทั้งที่มีผู้สมัครหรือผู้มีสิทธิเลือกยื่นคำร้องคัดค้านเป็นจำนวนมาก (มากจริง ๆ ) โดยแสดงพยานหลักฐานที่ชัดเจนซึ่งเห็นถึงความผิดปกติอย่างมากจนแทบจะไม่มีข้อสงสัยว่าไม่ใช่การฮั้ว โดย พรป.สว.กำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกยื่นคัดค้านภายใน 3 วัน นับแต่วันเลือก และให้ กกต.จะต้องวินิจฉัยคำคัดค้านโดยเร็ว ซึ่ง กกต.จะต้องใช้เวลาในการวินิจฉัยที่สอดคล้องกับระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นคัดค้านและที่กฎหมายกำหนดให้กระทำโดยเร็ว แต่ปัจจุบันผ่านมาแล้วนานถึง 1 ปี 4 เดือน ยังไม่มีผลการวินิจฉัยที่เป็นผลสรุปออกมาจาก กกต. ในขณะที่กลุ่ม สว.สำรองได้ยกขบวนไปตามเช้าตามเย็นก็ยังไม่เห็นผล ทำให้ผู้ที่ได้รับเลือกเป็น สว.มากกว่า 3 ใน 4 ซึ่งมีข้อสงสัยว่ามาจากการฮั้วได้ปฏิบัติหน้าที่ในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ของประเทศไปแล้วอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางคำครหาและการดูถูกดูแคลนของประชาชนและสื่อมวลชนว่า สว.กลุ่มใหญ่ที่ฮั้วเข้ามา ไม่ว่าจะอยู่ในกลุ่มอาชีพที่เป็นอดีตข้าราชการ นายแพทย์ เลี้ยงไก่ หรือขายหมู ซึ่งเป็นอาชีพสุจริตและเป็นตัวแทนของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ แต่มีข้อสงสัยว่าได้ทำหน้าที่โหวตในวุฒิสภาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน หรือว่าทำไปเพื่อรับใช้กลุ่มการเมืองหนึ่ง ซึ่งปรากฏเส้นเงินว่าได้ใช้จ่ายเงินไปมากกว่า 500 ล้านบาท ในขบวนการฮั้วครั้งมโหฬารนี้ ใช่หรือไม่ แต่ขีดความสามารถของ กกต.ในปัจจุบัน ก็ยังไม่อาจสร้างความกระจ่างให้กับประชาชนในเรื่องนี้ได้ จนมีผู้ยื่นฟ้อง กกต.ไปยังทุกศาลครบแล้ว ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลอาญาทุจริต และศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง
จึงเป็นที่เฝ้ารอของสังคมว่า จะมีอำนาจใดเข้ามาจัดการกับการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระแห่งนี้ เพื่อไม่ให้กระทำการอันเป็นการขายหน้าและเป็นที่ดูถูกดูแคลนของประชาชนอีกต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา