
"...เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภายใต้บริบทภูมิรัฐศาสตร์การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ-จีน เข้ามาสู่กรอบของอาเซียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่ครั้งนี้จีนเองไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านต่อบทบาทของสหรัฐฯในอาเซียนมากนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะจีนมีห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุหายากภายในประเทศที่เข้มแข็งและสินค้าจีนก็เป็นที่ต้องการของประเทศต่างๆอยู่แล้ว ประกอบกับจีนเองก็กำลังมีปัญหาภายในทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองจึงไม่ประสงค์จะยืดเยื้อความขัดแย้งกับสหรัฐฯในเวลานี้..."
จากการที่มีการลงนามของนายกรัฐมนตรีไทยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในบันทึกความเข้าใจเรื่องแร่ธาตุที่สำคัญยิ่ง เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 โดยไม่มีข่าวล่วงหน้ามาก่อน ซึ่งก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ความเหมาะสมในการลงนามครั้งนี้ จนกลายมาเป็นประเด็นทางการเมืองว่ารัฐบาลไทยไปเสียรู้ยินยอมให้สหรัฐฯ เข้ามายึดครองสินแร่ที่มีความสำคัญยิ่งหรือที่รู้จักกันในนามแร่หายาก (rare earth minerals)ในไทยเสียแล้ว
เหตุผลในส่วนที่เกี่ยวกับสาระของบันทึกความเข้าใจฯว่า มีส่วนดีหรือไม่ดีกับประเทศอย่างไรนั้นมีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวางในขณะนี้และยังคงต้องดำเนินต่อไปจนกว่าไทยเราจะมียุทธศาสตร์เรื่องนี้อย่างแท้จริง
ในวันนี้เราลองมาดูกันถึงเหตุผลด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้สหรัฐฯ ต้องเร่งรีบในการทำบันทึกความเข้าใจกับประเทศในเอเชีย 5 ประเทศในช่วงเวลาที่เข้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน วันที่ 26-28 ต.ค. 2568
ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ตามที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯและจีนมีกำหนดที่จะพบปะเจรจาในระหว่างการประชุมเอเปคที่เกาหลีใต้สิ้นเดือนต.ค. 2568 ซึ่งทำให้ตลาดมีความหวังว่า 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกจะลดความร้อนแรงของการเผชิญหน้าทางการค้าระหว่างกันได้
แต่เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 2568 รัฐบาลจีนได้ประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากทั้งหมด โดยจะมีผลในวันที่ 1 ธ.ค. 2568 จึงทำให้สหรัฐฯตกใจเพราะไม่มีการรับรู้มาก่อน และเป็นมาตรการที่กระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกในวงกว้าง ตั้งแต่เครื่องอิเล็คโทรนิค ไมโครชิป รถยนตร์ไฟฟ้า อุปกรณ์พลังงานทางเลือก ไปจนถึงยุทโธปกรณ์ทางทหารระดับสูง เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีการผลิตแร่ธาตุหายากในปริมาณ 70% และครองตลาดอยู่ถึง 90% ของโลก
สหรัฐฯตอบโต้ทันทีด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนจากอัตราปัจจุบันไปอีก 100% มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2568 พร้อมกับแสดงท่าทีเบื้องต้นว่าอาจต้องเลื่อนกำหนดการพบปะของประธานาธิบดีสองประเทศออกไปก่อน
หลังจากที่ฝ่ายจีนไม่แสดงท่าทีตอบโต้รุนแรงใดๆ ฝ่ายสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีคลังออกมาสงบสถานการณ์โดยยืนยันว่าการพบปะหารือของสองผู้นำที่การประชุมเอเปคยังคงเป็นไปตามกำหนดการเดิมในวันที่ 30 ต.ค. 2568 ซึ่งจะเป็นโอกาสให้สองประเทศเจรจาหาทางออกร่วมกัน
เป็นที่ชัดเจนว่า จีนยึดเอามาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากเป็นเครื่องมือเจรจา (เนื่องจากคุมตลาดอยู่ 90%) ส่วนสหรัฐฯ ก็ยึดเอามาตรการขึ้นภาษีสินค้าขาเข้าเป็นเครื่องมือต่อรองให้จีนผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว
อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏว่ามาตรการเพิ่มภาษีในอัตราที่ไม่สามารถทำได้จริงของสหรัฐฯ ครั้งนี้ดูจะไม่ได้ผล เพราะจีนรับรู้ว่านาย ทรัมป์เป็นคนที่ชอบขู่ให้คู่เจรจากลัวก่อนการเจรจาเสมอ (หมายเหตุ: ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับการขนานนามในลักษณะถากถางว่า TACO ซึ่งย่อมาจาก Trump always chickens out ซึ่งมีความหมายว่า นายทรัมป์มักจะถอนตัวเพราะความกลัวในนาทีสุดท้ายเสมอ)
สหรัฐฯ จึงหาวิธีใหม่ตอบโต้จีน โดยเลือกใช้วิธีการจัดทำบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือกระจายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุที่สำคัญยิ่ง กับหลายประเทศพร้อมๆกัน เพื่อแสดงให้จีนเห็นว่าสหรัฐฯ สามารถจัดตั้งเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุหายากได้เอง และใช้โอกาสการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 47 ซึ่งจะมีขึ้นก่อนการประชุมเอเปคไม่กี่วันเป็นเวทีประกาศการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ กับประเทศต่างๆประกอบด้วยไทย กัมพูชา มาเลเซีย เวียดนาม และญี่ปุ่น
โดยสำหรับประเทศที่ร่วมลงนามกับสหรัฐฯในครั้งนี้ก็ถือเป็นการแสดงมิตรไมตรีที่ดีให้แก่สหรัฐฯ ในห้วงเวลาที่สหรัฐฯต้องการความร่วมมือเร่งด่วน
ผลการเจรจาสหรัฐฯ-จีน เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2568
การเจรจาของผู้นำสองประเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สงครามการค้ารอบใหม่ถูกปลดชนวนออกได้ทันเวลา
สาระสำคัญของการเจรจาคือ จีนยินดีเลื่อนเวลาการใช้มาตรการควบคุมการส่งออกแร่ธาตุหายากออกไป 1 ปี และพร้อมซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ ในปริมาณที่เคยนำเข้าเดิม (ก่อนเปลี่ยนไปซื้อจากอาร์เจนติน่าและบราซิลเพื่อตอบโต้สหรัฐฯ)พร้อมทั้งให้สัญญาสหรัฐฯในการควบคุมการส่งออกสารเคมีที่ใช้เป็นสารตั้งต้นในการผลิตเฟนทานิล (Fentanyl)ซึ่งยาระงับปวดที่มีผลในการเสพติดที่เป็นปัญหาอันดับ 1 ในสหรัฐฯขณะนี้
สำหรับสหรัฐฯ ก็พร้อมจะระงับการบังคับใช้การเพิ่มภาษีอีก 100% และลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน(จากความร่วมมือควบคุมยาเฟนทานิล)ลง 10% ทำให้ภาษีสินค้าจีนโดยรวมลดลงจาก 57% เป็น 47%
เราได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้
- เหตุการณ์ครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภายใต้บริบทภูมิรัฐศาสตร์การแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ-จีน เข้ามาสู่กรอบของอาเซียนอย่างเลี่ยงไม่ได้ โชคดีที่ครั้งนี้จีนเองไม่ได้แสดงท่าทีคัดค้านต่อบทบาทของสหรัฐฯในอาเซียนมากนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะจีนมีห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุหายากภายในประเทศที่เข้มแข็งและสินค้าจีนก็เป็นที่ต้องการของประเทศต่างๆอยู่แล้ว ประกอบกับจีนเองก็กำลังมีปัญหาภายในทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองจึงไม่ประสงค์จะยืดเยื้อความขัดแย้งกับสหรัฐฯในเวลานี้
- การยึดถือแนวทางไม่เลือกข้าง เป็นมิตรกับทั้งสองฝ่ายไม่สามารถใช้ได้ในทุกสถานะการณ์
- ในชั้นนี้การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานในการผลิตแร่ธาตุหายากร่วมกับสหรัฐฯ และพันธมิตรอื่นๆ น่าจะส่งผลดีต่อประเทศไทยมากกว่าผลเสีย และถึงเวลาที่เราต้องมียุทธศาสตร์เรื่องนี้ให้ชัดเจน โดยพร้อมกันนั้น เราก็ควรมีแผนรองรับว่าหากจีนมีข้อเสนอในทำนองเดียวกันผลประโยชน์สูงสุดของประเทศควรอยู่ตรงจุดไหน
บทความโดย :
เจษฎา กตเวทิน
31 ต.ค. 2568

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา