
"...ปัญหาไทย-เขมรนั้นเป็นเพียงจุดระคายเคืองเล็กๆ จริงๆแล้วในเวทีโลกเขาแทบไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก จนบัดนี้ประเทศส่วนใหญ่เขายังไม่รับรู้เลยว่า สาเหตุคืออะไรและใครเป็นคนเริ่มกันแน่ ที่สำคัญคือประเด็นเรื่องการเสียชีวิตของพลเรือนไทยที่ควรเป็นจุดตายของเขมรกลับไม่ทำให้ภาพลักษณ์เขมรกระทบกระเทือนอย่างที่ควร ดังนั้น การที่เรามาใส่ใจกลัวโดนฟ้องร้องเรื่องการเปิดเสียงผี มันจึงดูเป็นเรื่องปลีกย่อยเกินไป..."
ประเด็นเรื่องการเปิดลำโพงเสียงผีก่อกวนเขมรและถูกทักท้วงจากสว.ท่านหนึ่งว่าอาจเป็นการละเมิดอนุสัญญา CAT (เกี่ยวกับทรมาณและการกระทำที่โหดร้ายทารุณต่างๆ) ที่มีการกล่าวถึงกันแพร่หลายขณะนี้ ส่วนหนึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ของการดำเนินนโยบายการทูตของไทยที่ยังขาดความหนักแน่น ชัดเจน และไม่กล้าที่จะออกอาวุธหนักหรือนโยบายเชิงรุกทางการทูตอย่างจริงจัง โดยอ้างว่าเรามุ่งเน้นการเจรจาอย่างเดียว และนี่คือสาเหตุสำคัญที่ประเทศเล็กๆอย่างเขมรจึงไม่มีความเกรงใจไทยเลย
ตามหลักการทูต 101 การเจรจาในกรอบทวิภาคีควรต้องเน้นเจรจาจากจุดแข็งที่เรามี (negotiate from a position of strength) ซึ่งในกรณีเขมร คือ การแสดงท่าทีที่ต้องการจบปัญหาที่โต๊ะเจรจา แต่ถ้างอแงมากก็ต้องพร้อมใช้กำลังทหารและเศรษฐกิจกดดันจริงจัง ซึ่งเป็นแนวทางที่ทุกประเทศเขาก็ทำกัน ไม่ต้องกลัวว่าต่างชาติจะประณามเกินจนกว่าเหตุ
ปัญหาไทย-เขมรนั้นเป็นเพียงจุดระคายเคืองเล็กๆ จริงๆแล้วในเวทีโลกเขาแทบไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก จนบัดนี้ประเทศส่วนใหญ่เขายังไม่รับรู้เลยว่า สาเหตุคืออะไรและใครเป็นคนเริ่มกันแน่ ที่สำคัญคือประเด็นเรื่องการเสียชีวิตของพลเรือนไทยที่ควรเป็นจุดตายของเขมรกลับไม่ทำให้ภาพลักษณ์เขมรกระทบกระเทือนอย่างที่ควร ดังนั้น การที่เรามาใส่ใจกลัวโดนฟ้องร้องเรื่องการเปิดเสียงผี มันจึงดูเป็นเรื่องปลีกย่อยเกินไป
MoU43 ที่มีการอ้างว่ามีไว้เพื่อคุมไม่ให้เขมรออกนอกลู่นอกทางนั้น ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นเครื่องผูกมัดเราไม่ให้กล้าทำโน่นทำนี่ เพราะกลัวว่าเขมรจะเอาไปโจมตีในเวทีโลก ทั้งที่ จริงๆแล้วเขมรมีการละเมิดความตกลงจนไทยต้องประท้วงกันหลายร้อยครัังแต่ก็ไม่เห็นจะมีผลเสียอะไรตามมาเลย
การนำประเด็นการละเมิดความตกลงทวิภาคีของฝ่ายเขมรไปประจานในเวทีโลกอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างยิ่ง ทั้งนี้ การประชุมอาเซียนต่อด้วยการประชุมเอเปคปลายเดือนนี้ถือเป็นโอกาสดียิ่ง
โดยแถมด้วยพฤติกรรมเขมรในการเป็นศูนย์กลางสแกมเมอร์โลก อันนำไปสู่การหมุนเวียนของทุนเทา/ทุนดำที่อยู่ในความสนใจในประเทศต่างๆ ตอนนี้
ในความตกลงสันติภาพที่จะมีประธานาธิบดี ทรัมป์เป็นประธานฯ หรือการหารือทวิภาคีกับผู้นำสหรัฐฯ (ไม่ว่าปธน.ทรัมป์หรือรมว.กต. Rubio) ในช่วงประชุมอาเซียนและเอเปค นอกเหนือจากเงื่อนไข 4 ข้อที่ไทยยึดถือมาตลอดแล้ว ควรต้องเพิ่มเงื่อนไขข้อที่ 5 ที่ระบุให้มีการดำเนินการจัดทำแผนที่เขตแดนร่วมกันตามที่ตกลงกันไว้ในการเจรจากรอบทวิภาคีให้เสร็จภายในเวลา 2 ปี แต่ไม่เกิน3 ปี (ซึ่งกรมแผนที่ทหารได้ยืนยันความเป็นไปได้เอาไว้แล้ว) ทั้งนี้ เมื่อผู้นำสหรัฐฯให้ความสำคัญต่อเรื่องการยุติปัญหาไทย-เขมรเป็นการส่วนตัว เราก็ควรใช้จังหวะนี้มากดดันเขมรให้เดินในแนวทางสันติให้ได้

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา