
“…ในเมื่อเรายังมี policy space อยู่ แล้วระดับ (ดอกเบี้ยนโยบาย) ในปัจจุบันอยู่ที่ 1.5% ก็ถือว่าต่ำประมาณหนึ่ง แล้วผลยังไม่เห็นชัดว่า เป็นอย่างไร เราอยู่ในโหมดที่คิดว่า กนง.เข้าใจตรงกัน และอยู่ใน statement ด้วยว่า เราก็พร้อมที่จะผ่อนคลายต่อไป เพื่อจะประคับประคองเศรษฐกิจ แล้วก็ดันเงินเฟ้อขึ้น…”
................................................
หมายเหตุ : วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงาน ‘GovernorConnect’ ครั้งที่ 1/2568 โดยนายวิทัย พบปะพูดคุยกับสื่อมวลชนครั้งแรกหลังรับตำแหน่ง เกี่ยวกับแนวทางการทำงานของ ธปท. และทิศทางนโยบายสำคัญในระยะต่อไป เมื่อวันที่ 10 ต.ค.2568
@ยึดมั่น 3 ภารกิจหลัก-ย้ำ‘แบงก์ชาติ’ต้อง‘อิสระ’ในการตัดสินใจ
ภารกิจของผมในการมาเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรายังยืนยันว่า เรายึดมั่นในภารกิจหลักของเรา (ธนาคารแห่งประเทศ) ซึ่งเป็นเรื่องการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค เวลาพูดอย่างนี้ชาวบ้านหรือประชาชนจะงงว่า เราพูดถึงอะไร แน่นอนว่าเราพูดถึง 3 เรื่อง
เรื่องแรก คือ เราพยายามจะรักษาเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ แต่มีเสถียรภาพ หรือ low and stable เรื่องที่สอง เราจะดูแลให้มั่นใจว่าระบบการเงินของเรา สถาบันการเงินมีความเข้มแข็ง ไม่เกิดวิกฤติเหมือนในอดีตที่ผ่านมา และเรื่องที่สาม ดูแลระบบการชำระเงินให้มีประสิทธิภาพ อันนี้เป็นหน้าที่หลักของเรา
ในยุคนี้ ยืนยันว่า เราทำหน้าที่ตามภารกิจหลัก ซึ่งรวมๆกัน คือ รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคเหมือนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนเลย
อีกเรื่อง ยืนยันว่าเราจะต้องมีอิสระ แบงก์ชาติให้ความสำคัญมาก เรื่องความเป็นอิสระ อิสระจากการถูกกดดันทางการเมือง อิสระจากการตัดสินใจ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่า 2 เรื่องนี้ ต้องยืนหยัด แข็งแรง และให้อยู่ต่อไป
อย่างไรก็ตาม คำว่า ‘อิสระ’ ไม่ได้แปลว่า เราทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นไม่ได้ เรายินดีร่วมกันทำงานกับกระทรวงการคลัง รัฐบาล และทุกหน่วยงาน เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจกลับมาสู่จุดที่มีความสมดุล เติบโตในระดับที่มุ่งสู่ศักยภาพของเรา นโยบายการเงิน นโยบายการคลัง ต้องออกมาในลักษณะที่สอดคล้อง เพื่อสนับสนุนในจุดนี้
เศรษฐกิจที่ต่ำ ถ้ามันต่ำเกินไปมาก มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถ้าต่ำเกินไปมาก สุดท้ายจีดีพี ถ้าต่ำลงมากๆเกินไป แล้ว เราไม่ช่วยกันประคับประคอง สุดท้ายจะเกิดปัญหากระทบกับเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคในท้ายที่สุด เพราะฉะนั้น เราดูแลเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วย ไม่ใช่ไม่ดูเลย
2-3 ประเด็นนี้ เป็นประเด็น Key statement ที่อยากจะเล่าให้ฟัง แต่ว่าแน่นอน ผมคิดว่าในยุคนี้ ท้ายที่สุดแล้ว เราจะทำอะไรก็ตาม เราจะออกมาตรการอย่างไรก็ตาม เราจะกำกับสถาบันการเงินอย่างไรก็ตาม เราออกนโยบายอะไรก็ตาม มาตรการเฉพาะจุดอย่างไรก็ตาม แต่สุดท้ายต้องตอบให้ได้ว่า ประชาชนได้อะไร ประเทศได้อะไร สังคมได้อะไร
ถ้าเรารักษาเสถียรภาพอย่างเดียว แล้วประชาชนไม่ได้อะไร ประเทศไม่ได้อะไร สุดท้ายมันก็อาจทำให้เราไม่บรรลุผล บรรลุเป้าหมายได้อย่างแท้จริง จึงต้องดูว่าประชาชนได้อะไร สังคมได้อะไรด้วย อันนี้จะเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญต่อไปแน่นอน
@ให้ความสำคัญ‘มาตรการเฉพาะจุด’เสริม‘นโยบายการเงิน’
เวลาวางหลักอย่างนี้ว่า ท้ายที่สุด ต้องดูแลประชาชน แปลว่าแบงก์ชาติจะออกมาตรการอะไร ต้องเข้าใจปัญหาที่แท้จริงของสังคม ซึ่งแต่เดิม ก็ทำมาดีอยู่แล้ว แต่ก็ปรับเสริมขึ้นไปได้ เราต้องเข้าใจปัญหา เราต้องอยู่ใกล้ชิดกับปัญหา ต้องอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน สังคม
มาตรการที่ออก ต้องแน่ใจว่าแก้ปัญหาได้ ช่วยประชาชน แล้วก็ยังยึดมั่นในเรื่องเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งนี่เป็นเป้าหมายหลักที่สำคัญ
คิดต่อไปอีก เวลาจะทำอย่างนี้ สิ่งที่จะออกมาจากนี้ไป มันจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า มาตรการเฉพาะจุด จากข้อมูลที่ออกมา ผลลัพธ์ที่ออกมาจะเห็นว่ามาตรการเฉพาะจุด เช่น ในยุคที่ผ่านมา เราออกมาตรการ ‘คุณสู้ เราช่วย’ อันนี้ช่วยคนได้เยอะมาก
มาตรการเฉพาะจุดเหล่านี้ จากนี้ไปจะเป็นมาตรการที่จะให้ความสำคัญมากๆ เพื่อเสริมกับนโยบายทางการเงิน คือ เรื่องของอัตราดอกเบี้ยนโยบายในภาพกว้าง อันนี้จะเป็นจุดที่เสริมกับจุดต่างๆ เช่น การแก้หนี้ เราเริ่มจากการทำ AMC (บริษัทบริหารสินทรัพย์) จัดตั้ง AMC ขึ้นมา โอนหนี้ที่ต่ำกว่า 1 แสนบาทเข้ามา
อันนี้ก็ร่วมทำงานกับรัฐบาล กระทรวงการคลัง และสถาบันการเงินทั้งหลาย ซึ่งอยู่ระหว่างหารือ และรีบดำเนินการ คาดว่าน่าจะช่วยคนได้ 2 ล้านคน
มาตรการอย่างนี้ เรียกว่ามาตรการเฉพาะจุด จะเสริมเข้าไปแก้จุดต่างๆ AMC ก็ดี การดึงคนเข้าสู่ระบบสินเชื่อที่เรียกว่า inclusion ทำอย่างไรให้กู้ได้ง่ายขึ้น มาตรการอะไรที่จะออกมา แล้วทำให้ SMEs สามารถเข้าถึงสภาพคล่องได้ดีขึ้น มาตรการอะไรที่จะออกมา แล้วทำให้ต้นทุนการใช้บริการทางการเงินมีความเหมาะสมมากขึ้น
เหล่านี้จะเป็นมาตรการเสริมเฉพาะจุดที่ออกมาควบคู่กับการออกนโยบายทางการเงินในภาพกว้าง คือ ดอกเบี้ยนโยบาย อันนี้เป็นจุดที่เราคิดว่า จะทยอยออกมา แล้วช่วยคนได้มาก แล้วมันจะตอบโจทย์ว่า ท้ายที่สุดคนได้อะไร แก้ปัญหาอะไร มันจะเฉพาะจุดมาก และมี impact สูงมาก ซึ่งที่ผ่านมามี impact สูงมาก เราจะทำเยอะขึ้น และใกล้ปัญหามากขึ้น แล้วออกมาต่อเนื่อง
@สานต่อ‘Risk-based pricing-โครงการ‘Your Data’-ตั้ง‘NaCGA’
ส่วนมาตรการเดิมๆ หรือโครงการเดิมๆที่ทำไว้ของผู้ว่าฯธปท.คนเดิม ที่เป็นเรื่องดีๆ ผมคิดว่าเราก็ทำต่อไป ไม่มีอะไรเสียหายเลย Virtual Bank ก็ทำต่อไป ก็จะช่วยทำให้คนเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น มาตรการหลายตัว โครงการหลายเรื่อง ซึ่งยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ยังเป็นแนวคิด ยังไม่ตกผลึก หรือยังมีปัญหา ถ้าเราคิดว่าดี ก็เอามาทำต่อ เอามาปรับ
สำคัญที่สุด คือ ต้องทำให้มันเสร็จและเกิดจริง ไม่อยู่บนเปเปอร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง NaCGA (สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ) ต้องเอามาปรับให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ไปด้วยกันได้ ก็จะทำให้ SMEs หรือรายย่อย เข้าถึงสินเชื่อได้ ให้มันเกิดเรื่องจริง
เรื่อง Risk-based pricing (การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงสำหรับสินเชื่อรายย่อย) การคิดอัตราดอกเบี้ยที่แตกต่างกันตามระดับความเสี่ยง ซึ่งเป็นโครงการเดิม เดี๋ยวจะเร่งออกมา ทำให้ประสบความสำเร็จ จากเดิมที่เป็น concept (แนวคิด) ในวันนี้
หรือเรื่อง Your Data (โครงการ Your Data ข้อมูลของคุณ สู่บริการทางการเงินที่ตอบโจทย์) ท่านรองรุ่ง (มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ธปท.) เป็นหลักตรงนี้ ซึ่งเรื่อง Your Data จะทำให้ข้อมูลการอนุมัติสินเชื่อรายย่อยดีขึ้นมาก ก็ต้องรีบทำอย่างแล้ว และให้เกิดเป็นเรื่องจริง พวกนี้เป็นโครงการดีๆของเดิมที่รับมาทำต่อ
เรื่องสุดท้ายที่อยากเล่าให้ฟัง เรื่องการให้ความรู้ทางการเงิน หรือ Financial Literacy แม้ว่ามันเหมือนเป็น concept ซึ่งทุกคนพยายามทำ แต่ยังไม่เห็นเกิดเป็น impact ชัดเจนในช่วงที่ผ่านมา เหมือนเรื่องการดึงคนเข้าสู่ระบบสินเชื่อที่เรียกว่า financial inclusion เริ่มทำมาแล้วบ้าง แต่เดี๋ยวจะทำให้เกิดความสำเร็จ จับต้องได้ ชัดเจน เป็นอีกหนึ่งมาตรการเฉพาะสุด
เรื่อง Financial Literacy ผมคิดว่าสำคัญมากจริงๆ ที่ผ่านมา มีเจ้าภาพร่วมกันทำหลายหน่วยงาน แต่ยังไม่มีความสำเร็จ จับต้องได้เป็นรูปธรรม เราจะร่วมกับหลายหน่วยงานเข้าไปมีบทบาททำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณ ตอนนี้สังคมสูงวัย จำเป็นจริงๆ ส่งเสริมการออมเพื่อการเกษียณต้องทำ การสอนให้น้องๆ เริ่มออมแต่เด็กต้องทำ
เวลาเราพูดถึง Financial Literacy เราจะพูดถึงเรื่องการออมอย่างเดียว นอกเหนือจากการออม นอกเหนือจากการสอนเรื่องการลงทุน มันต้องสอนเรื่องการใช้เงินด้วย ที่ผ่านมาจุดนี้ เป็นจุดที่คนยังให้ความสำคัญไม่มากนัก ซึ่งผมคิดว่าการใช้เงินมีความสำคัญจริงๆ ความสะดวกสบายของออนไลน์ทั้งหลาย การช้อปปิ้งทั้งหลาย ทำให้ซื้อกันทุกวัน
เราต้องสอน ต้องให้ความรู้ ไม่จำเป็นว่า ของมันต้องมี ของต้องมี FOMO (Fear of Missing Out : อาการที่เกิดขึ้นมาจากความรู้สึกกลัวไม่เป็นที่ยอมรับ) พวกนี้มันต้องสอนว่า ไม่จำเป็นต้องซื้อทุกอย่าง ซื้อเมื่อจำเป็น แล้วจะทำอย่างไร นอกจากให้ความรู้เรื่องการออม มันต้องให้ความรู้เรื่องการใช้ตังก์ด้วย
เผลอๆ เราอาจต้องเข้าไปควบคุม ซึ่งเราจับตาดูอยู่เรื่องการช้อปปิ้งออนไลน์ทั้งหลาย ประเภท Buy Now Pay Later (บริการชำระเงินแบบซื้อก่อนจ่ายทีหลัง) อันนี้เป็นจุดหลักสำคัญอีกจุดหนึ่ง เรากำลังติดตามอยู่ว่า เราจะเข้าไปดูอย่างไร ถ้าเราเห็นว่ามีความจำเป็นต้องเข้าไปดูแล เราก็จะไม่ปฏิเสธที่จะเข้าไปดูแล เพราะสุดท้ายเราต้องทำให้วินัยของคนในประเทศดีขึ้น

@พร้อมผ่อนคลาย‘นโยบายการเงิน’ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ
ช่วงถาม-ตอบ
ถาม : ท่านผู้ว่าฯธปท. มีความเห็นเรื่องดอกเบี้ยนโยบายอย่างไร หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไป และจะทำให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายได้เมื่อไหร่ ดอกเบี้ยจะลดลงได้อีกหรือไม่?
วิทัย : ดอกเบี้ยนโยบายลงมา 1% ต่อเนื่อง ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ถามว่าเรามี policy space เหลือไหม เรามี policy space เหลือ ถามว่า ผลของการลดดอกเบี้ยในครั้งๆที่ผ่านมา ซึ่งเราทยอยลดในช่วง 12 เดือนนี้ ออกดอกออกผล เห็น impact เต็มที่แล้วหรือยัง คำตอบ คือ ยัง เพราะมันใช้เวลา 6-12 เดือนเป็นอย่างน้อย ถึงจะเริ่มเห็นผล
ในเมื่อเรายังมี policy space อยู่ แล้วระดับ (ดอกเบี้ยนโยบาย) ในปัจจุบันอยู่ที่ 1.5% ก็ถือว่าต่ำประมาณหนึ่ง แล้วผลยังไม่เห็นชัดว่า เป็นอย่างไร เราอยู่ในโหมดที่คิดว่า กนง.เข้าใจตรงกัน และอยู่ใน statement ด้วยว่า เราก็พร้อมที่จะผ่อนคลายต่อไป เพื่อจะประคับประคองเศรษฐกิจ แล้วก็ดันเงินเฟ้อขึ้น
ส่วนเงินเฟ้อตอนนี้ ถ้าไปดูจริงๆ เงินเฟ้อที่เรียกว่า core inflation (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน) ที่เอาตัวพลังงานและอาหารออก ตอนนี้คาดการณ์อยู่ที่ปีนี้และปีหน้าอยู่ที่ 0.9% ซึ่งแตะใกล้ๆกรอบล่างอยู่แล้ว แต่ว่าวันนี้เงินเฟ้อทั่วไปที่ลงมาอยู่ในปัจจุบัน มันเป็นเรื่องการลง เพราะราคาพลังงานและอาหาร ซึ่ง 2 ตัวนี้มีน้ำหนักเกือบ 50%
จึงทำให้เงินเฟ้อทั่วไปอาจดูต่ำกว่าความรู้สึกบ้าง แต่เดี๋ยวมันจะทยอยขึ้นมา ส่วนในระยะยาว เป้าหมายปานกลางของเรา ซึ่งเวลาดูเงินเฟ้อแบงก์ชาติจะดูระยะปานกลาง มันจะกลับเข้ามาอยู่ในกรอบที่ 1-3% แน่นอน
วันนี้ ท่านรองฯ และ กนง. พยายามดูอยู่ว่า มันมีความกังวลเรื่องเงินฝืดไหม ในทางเศรษฐศาสตร์ ถ้ามันจะเป็นเงินฝืด อย่างแรกเลย core inflation จะต้องติดลบลงไปลึกๆ หรือการลดลงของราคาสินค้าต้องเป็นในวงกว้าง ซึ่งตอนนี้เท่าที่ดู ยังไม่วงกว้าง แต่ผมคิดว่า เราอยู่ในโหมดที่พร้อมจะผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อไปแน่นอน เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจ
ถาม : ในการประชุม กนง. มีเสียงแตกอยู่ 2 เสียง ที่มองว่าให้ลดดอกเบี้ย แสดงว่ามีมุมมองเศรษฐกิจที่แย่กว่ามุมมองของ กนง. โดยรวม ?
วิทัย : ผมคิดว่า ใน 7 ท่าน ถึงแม้จะเป็น 5 ต่อ 2 แต่มุมมองไม่ได้ต่างกัน ผมคิดว่าเป็นเรื่องของจังหวะเวลามากกว่า policy space เราเหลืออย่างจำกัด มาตรการการลดดอกเบี้ยที่ออกไป ครั้งสุดท้ายเพิ่งลดไปเมื่อเดือน ส.ค.2568 ดังนั้น มันยังไม่ทอดไปถึง 6-12 เดือน บางท่านก็เห็นว่าควรจะหยุด คอย และใช้ policy space ในจุดที่สำคัญในเวลาที่เหมาะสม
ถ้าดูใน statement จะเห็นว่า มีโทนที่เห็นความชัดเจนว่า เราพร้อมจะผ่อนคลายต่อไป ฉะนั้น จึงไม่มีประเด็นว่า ไม่สนใจว่า ดอกเบี้ยนโยบายจะต้องดูแลเรื่องเงินเฟ้อ เรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งไม่ใช่ แต่คอยจังหวะที่เหมาะสม แต่แน่นอนว่าการตัดสินใจในเดือนถัดๆ ต้องดูข้อมูลใหม่ที่ออกมาด้วย มันไม่ได้บอกว่าต้องทำอย่างนี้หรือเป็นอย่างนี้
แต่ทิศทางไม่มีข้อจำกัดว่า เราจะกังวลว่าเราจะไม่พร้อมสนับสนุน แต่มีความจำกัดเรื่อง policy space การ cut ดอกเบี้ยที่ออกไป มันยังออกไม่เต็มผล ผลมันยังออกไม่เต็มที่ จึงต้องคอยจังหวะและดูข้อมูลใหม่
@ให้ความสำคัญ-ดูแล‘ค่าเงินบาท’ให้อยู่ในระดับเหมาะสม
ถาม : ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าตอนนี้จะแข็งค่าขึ้น แต่มีการวิเคราะห์ว่าจะเป็นการอ่อนค่าชั่วคราว ธปท. และกระทรวงการคลัง รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะมีมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างไร?
วิทัย : ณ วันนี้ ถ้าดู year to date เราไม่ได้แข็งค่าเหมือนช่วงที่แล้ว ตอนนี้เราแข็งประมาณ 4.5% ซึ่งถ้าเทียบกับหลายประเทศในอาเซียน ตอนนี้แข็งกว่าเราไปแล้ว ไต้หวัน มาเลเซีย และหลายประเทศแข็งกว่าเราไปแล้ว
แต่การขึ้นลงของค่าเงินบาท นอกจากเป็นเรื่องของผลของเงินดอลลาร์สหรัฐแล้ว ซึ่งเป็นทิศทางหลักแล้ว ก็ยังเป็นเรื่องเงินเข้าเงินออกด้วย พอดูเงินเข้าเงินออก ทำให้เราติดตาม เราทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานหลายหน่วยงาน ที่เรียกว่า connect the dots หาให้เจอว่า ถ้ามันมีเงินที่มีความน่าสงสัยเข้ามา แล้วมีผลต่อค่าเงินบาทให้แข็ง เราต้องหาให้เจอ
เวลาบอกว่าแบงก์ชาติเห็นทุกอย่าง ต้องบอกว่าแบงก์ชาติไม่เห็นทุกอย่าง เพราะบางทีเป็นธุรกรรมที่ไม่อยู่บนโต๊ะ ไม่มีการรายงาน แต่สามารถทำงานร่วมกับอีกหลายหน่วยงาน เพื่อหาตรงนี้ได้ เช่น ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) กระทรวงการคลัง และ ปปง. (สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน) ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างการเริ่มต้น
ถาม : หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีทิศทางที่ลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง และทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า ค่าเงินบาทจะมีแนวโน้มอย่างไรในอนาคต ?
วิทัย : เฟดลดดอกเบี้ย แน่นอนว่ามีผลกับเราอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยเดียว เพราะยังมีเรื่องเงินเข้าเงินออก การเกินดุลชำระเงินของไทยด้วย มีปัจจัยพื้นฐานอย่างอื่นด้วย มีหลายปัจจัย ซึ่งต้องตามไปดู เราพร้อมจะเข้าไป ผมคิดว่าเราให้ความสำคัญกับค่าเงินบาทเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ต้องตามไปดูว่า เราจะดูแลอย่างไรให้อยู่ระดับที่เหมาะสม และเราก็พร้อมที่จะเข้าไปดู ถ้ามีเงินไม่พึงประสงค์เข้ามา แล้วทำให้มีผลต่อค่าเงินบาท
ส่วนเรื่องทองคำ เป็นส่วนเสริมทำให้เกิดการแข็งตัวขึ้น โดยเฉพาะการเทรดผ่านแอปพลิเคชันที่เป็นเงินบาท เช่น เวลาทองขึ้น ถ้าคนขายทอง ร้านทองก็ต้องไปทำธุรกรรม hedge หรือจะขายทองตาม ทำให้เกิดแรงซื้อบาทเข้ามา คือ ขายดอลลาร์ซื้อบาท ก็ทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น
อันนี้อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการคลัง และร้านทอง ว่า จำเป็นหรือไม่ ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่อยากมีนโยบายอะไร แต่ถ้าจำเป็นต้องมี ก็จะหารือกับกระทรวงการคลังว่า ควรทำอย่างไร เพราะกระทรวงมีอำนาจในการดำเนินการพวกนี้ แต่ว่าจะทำด้วยความระมัดระวัง ถ้าจำเป็น ถ้ามีทิศทางอย่างนี้อยู่จริงๆ ก็จะเข้าไปดู
@ไม่มีแนวคิดจัดตั้ง‘กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ’ชี้ไม่ช่วย‘บาทอ่อน’
วิทัย : ในส่วนการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Sovereign Wealth Fund) นั้น ต้องเข้าใจพื้นฐาน Sovereign Wealth Fund ก่อน ผมเป็น fund manager โดยอาชีพ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ โดยหลักแล้ว มันเอาไว้ back ธนบัตรไทย มันควรจะเป็นเงินตราต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นดอลลาร์ เป็นทอง เป็นการกระจายความเสี่ยงอะไรไป ซึ่งในปัจจุบันพวกนี้ จะเป็นเงินที่อยู่ในสกุลอื่นๆ
แนวความคิดการจัดตั้ง Sovereign Wealth Fund ถ้าใช้เงินส่วนนี้ของแบงก์ชาติ ก็ไม่ได้มีผลช่วยเหลือเรื่องค่าเงินเลย ยกเว้นว่าจะใช้เงินบาทตั้งต้นใหม่ เพื่อเอาเงินบาทไปซื้อดอลลาร์ แล้วไปบริหารใหม่ อันนี้ถึงจะมีผลต่อค่าเงินบาท คือ มีความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ ขายเงินบาท และทำให้เงินบาทอ่อน แต่เราไม่มีเงินบาทก้อนนั้น
เพราะฉะนั้น ในชีวิตจริง การตั้ง Sovereign Wealth Fund เพื่อช่วยให้บาทอ่อน ก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามทฤษฎี เพราะเงินทุนสำรองฯ หลักๆจะเป็นดอลลาร์อยู่แล้ว มันแค่โยกจากอีกบัญชีหนึ่ง มาตั้งเป็น Sovereign Wealth Fund ก็ไม่ช่วยทำให้บาทอ่อน
แล้วถามว่าควรจะตั้ง Sovereign Wealth Fund หรือไม่ ก็ยังไม่มีแนวคิดในตอนนี้เลย ผมไม่มีแนวความคิดนี้เลย แล้วผมคิดว่า ในอนาคต ถ้าจะดู เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ไม่ได้คิดจะทำเลย แต่ถ้ามีคนเสนอมา เราก็พร้อมจะเข้าไปดู แต่ตอนนี้ไม่มีแนวความคิดนี้
แล้วผมคิดว่า ผมเข้าไปดูการลงทุน reserve management ของแบงก์ชาติ มีความซับซ้อนมาก เป็นความซับซ้อนในแง่ดี มีมาตรฐานที่ดีมาก มีทองเยอะ มีสกุลเงินต่างประเทศที่ไม่ใช่เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเยอะ มีแม้กระทั่ง equity ในจุดที่จัดสัดส่วนการลงทุนที่ค่อนข้างดี แต่ไม่ได้หมายความว่า ทำอะไรไม่ได้ มันสามารถทำได้ต่อ
ดังนั้น การแยกออกมาตั้ง Sovereign Wealth Fund เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ถามว่ามันมี benefit ไหม มันนึกไม่ออกว่าอย่างไร และตอนนี้เงินลงทุน เราก็เอาไปลงทุนในต่างประเทศอยู่แล้ว และมันก็คือ reserve management แล้วถ้ากลับไปวัตถุประสงค์แรก ว่า จะตั้งเพื่อให้เงินบาทอ่อน ผมก็ไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้น
@ดัน‘SAM’เป็น‘social AMC’ รับโอน‘หนี้เสีย’ต่ำกว่า 1 แสนช่วย 2 ล้านคน
ถาม : กระบวนการในการแก้ปัญหาหนี้ผ่าน AMC ควรเป็นอย่างไร?
วิทัย : AMC เป็นแนวคิดที่ทำมาพักหนึ่งแล้ว ผมเข้ามา ผมประชุมเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา แล้วก็ประชุมไป 2 ครั้งแล้ว เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจะประชุมใหม่ แนวทาง AMC คือ การช่วยคน มีหนี้รายย่อยที่ต่ำกว่า 1 แสนบาท ประมาณ 3 ล้านกลางๆ บางส่วนอยู่กับ นอนแบงก์ แบงก์พาณิชย์ และนอนแบงก์ที่อยู่ใต้แบงก์พาณิชย์ บางส่วนอยู่กับแบงก์รัฐ
วันนี้เราจะเลือกบางส่วนมาทำก่อน คร่าวๆ เดี๋ยวต้องคุยกับกระทรวงการคลังก่อน ตอนนี้กระทรวงการคลัง เรา และแบงก์พาณิชย์ช่วยกันอยู่
ส่วนการทำ AMC นั้น สมมติว่าลูกหนี้เข้า AMC มีหนี้ 100 บาท โอนไปในราคาถูก การปรับโครงสร้างหนี้จะเป็นในลักษณะที่ผ่อนปรนมากๆ ทำให้เขาสามารถปลดหนี้ได้เร็ว แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่จะเสียในอนาคต แต่เป็นคนที่เสียในอดีต ไม่เช่นนั้นจะเสียวินัยทางการเงิน
แนวทางที่คุยตอนนี้ เราไม่ได้พูดถึง national AMC แล้ว ในยุคนี้ แบงก์ชาติจะเอา SAM (บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด) ซึ่งกองทุนฟื้นฟูฯถือหุ้น 100% เข้าไปทำ
วันนี้โมเดลยังเป็นแบบนี้ ยังไม่ตกผลึก แต่คิดว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าจะใช้ SAM โดย SAM จะถูกปรับเป็น social AMC ทำภารกิจช่วยคน และกำลังดูอยู่ว่าใช้เงินตรงไหน โอนอย่างไร ภายในสิ้น ต.ค.ต้องจบแล้ว ซึ่งไม่ง่าย มีหลายเรื่องต้องคุยกันต่อ ผมว่ามีโอกาสจบสูง และช่วยคนได้ 2 ล้านคน โดยน่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2569
ในส่วนของแหล่งเงินที่จะนำไปซื้อหนี้ ซึ่งจะมาจากกองทุนฟื้นฟูฯนั้น โดยกระบวนการที่ผ่านมา กองทุนฟื้นฟูฯเก็บเงินนำส่ง 0.46% แล้วในช่วงที่มีสถานการณ์ต่างๆ เช่น ในช่วงเกิดโควิด หรือช่วงปีนี้ มีการลดการนำส่งจาก 0.46% เหลือ 0.23% ซึ่งหลังจากลดแล้ว ธนาคารพาณิชย์นำ 0.23% ที่ลด มาใส่เป็นกองกลาง เพื่อช่วยคนในโครงการ ‘คุณสู้เราช่วย’
ตอนนั้น ผมอยู่คนนอก ซึ่ง ‘คุณสู้เราช่วย’ ประสบความสำเร็จ ช่วยคนได้เยอะจริงๆ แต่มีเงินเหลืออยู่ เงินก้อนนี้จะเอามาใช้ในโครงการต่างๆต่อไป

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา