
"...ขณะเดียวกัน การใช้อินเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลาย แต่จำกัดอยู่แค่ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แนวคิดใหม่จึงเกิดขึ้นว่า “หากโทรศัพท์มือถือสามารถเชื่อมต่ออีเมลได้แบบเรียลไทม์ และเล่นอินเทอร์เน็ตได้ด้วยจะดีเพียงใด” ทีมของลาซาริดิสจึงเริ่มพัฒนาโทรศัพท์แบบ 3 in 1 โทรได้ รับอีเมลได้ และท่องอินเทอร์เน็ตได้ในเครื่องเดียว ซึ่งพวกเขาใช้เวลาไม่นานก็ทำสำเร็จ..."
สวัสดีครับ
หากพูดถึงโทรศัพท์มือถือที่ผมชื่นชอบมากที่สุด คงหนีไม่พ้น “แบล็คเบอร์รี่” (BlackBerry หรือ BB) โทรศัพท์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้วยแป้นพิมพ์ QWERTY ขนาดเล็ก จับถือด้วยสองมือและพิมพ์ด้วยนิ้วโป้งได้อย่างสะดวก ความเร็วในการพิมพ์และความแม่นยำทำให้เหนือกว่าโทรศัพท์จอสัมผัสในยุคเดียวกัน
ในช่วงเวลานั้น BB คือโทรศัพท์ที่ “ต้องมี” สำหรับนักธุรกิจ ผู้บริหาร และคนทำงานมืออาชีพ แม้แต่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ยังใช้ BB เป็นเครื่องมือหลักในการทำงานที่ทำเนียบขาว ส่งข้อความถึงรัฐมนตรี หรือแม้แต่พ่อครัวส่วนตัว ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ตกหลุมรักโทรศัพท์รุ่นนี้ตั้งแต่แรกเห็น เรียกว่า สอยมาใช้จนแทบ “สอบตกวิชาการออม”
เรื่องราวของ BlackBerry ต้องย้อนกลับไปปี ค.ศ. 1984 ในยุคที่โทรศัพท์มือถือยังใช้ได้เพียงโทรเข้า โทรออก และการส่งข้อความยังต้องอาศัยเครื่องเพจเจอร์ (Pager) ผ่านคนกลาง (Operator) ซึ่งสร้างความไม่สะดวก และไม่เป็นส่วนตัว ไมค์ ลาซาริดิส (Mike Lazaridis) และ ดักลาส เฟรกิน (Douglas Fregin) สองหนุ่มวิศวกรชาวแคนาดาที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย มีความตั้งใจจะพัฒนาเทคโนโลยีที่ให้คนส่งข้อความถึงผู้รับโดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลาง แต่ก่อนที่พวกเขาจะทำสำเร็จ บริษัทผลิตเพจเจอร์จากสวีเดนกลับออกผลิตภัณฑ์ได้ก่อน ทว่าเครือข่ายในแคนาดายังไม่รองรับ ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจเข้าซื้อกิจการนั้นและก่อตั้งบริษัท Research In Motion (RIM) เพื่อพัฒนาอุปกรณ์สื่อสารของตนเอง
ขณะเดียวกัน การใช้อินเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลาย แต่จำกัดอยู่แค่ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล แนวคิดใหม่จึงเกิดขึ้นว่า “หากโทรศัพท์มือถือสามารถเชื่อมต่ออีเมลได้แบบเรียลไทม์ และเล่นอินเทอร์เน็ตได้ด้วยจะดีเพียงใด” ทีมของลาซาริดิสจึงเริ่มพัฒนาโทรศัพท์แบบ 3 in 1 โทรได้ รับอีเมลได้ และ ท่องอินเทอร์เน็ตได้ในเครื่องเดียว ซึ่งพวกเขาใช้เวลาไม่นานก็ทำสำเร็จ

ไมค์ ลาซาริดิส และ ดักลาส เฟรกิน
ผู้ค้นคิด BB
แต่พวกเขาขาดประสบการณ์ด้านการตลาด การนำเสนอผลิตภัณฑ์ครั้งแรกต่อบริษัทยักษ์ใหญ่กลับล้มเหลว จนกระทั่ง จิม บัลซิลลี (Jim Balsillie) ผู้บริหารที่อยู่ในงานพรีเซนต์วันนั้น มองเห็นศักยภาพ จึงเสนอตัวเป็น CEO พร้อมถือหุ้น 25% แลกกับการผลักดันให้ผลิตภัณฑ์นี้เกิดขึ้นจริง
บัลซิลลีสามารถเปิดประตูให้ทีมเข้าไปนำเสนอแก่ Bell Atlantic บริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ แม้เกือบพลาดเพราะลาซาริดิสเผลอลืมโทรศัพท์ตัวอย่างไว้ในรถแท็กซี่ แต่เมื่อการสาธิตเริ่มขึ้น ผู้บริหาร Bell Atlantic ถึงกับตกตะลึงในความสามารถของเครื่องที่เชื่อมต่ออีเมลและโทรศัพท์ได้พร้อมกัน เมื่อบริษัทตอบรับที่จะร่วมมือ จึงเกิดการระดมสมองตั้งชื่อแบรนด์ใหม่ หนึ่งในทีมเสนอชื่อ “Strawberry” เพราะรูปทรงคล้ายผลไม้ชนิดนั้น แต่ลาซาริดิสเห็นว่าชื่อ “BlackBerry” เหมาะกว่า เพราะเข้ากับสีดำของตัวเครื่อง ชื่อดังกล่าวจึงกลายเป็นตำนานโทรศัพท์รุ่นแรก BlackBerry 5810 ออกสู่ตลาดและเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว ด้วยความปลอดภัยสูง ระบบปฏิบัติการของเครื่อง และสามารถส่งข้อความระหว่างผู้ใช้ BB ได้โดยตรง

โทรศัพท์ BB รุ่นที่เป็นที่นิยม
จุดเด่นนี้ยิ่งได้รับการยืนยันในเหตุการณ์ 9/11 ปี ค.ศ. 2001 ที่เครือข่ายโทรศัพท์ทั่วไปล่ม แต่ BB ยังส่งข้อความหากันได้ ทำให้ชื่อของ BB โด่งดังไปทั่วโลก ยอดขายพุ่งขึ้นกว่า 30 ล้านเครื่อง ภายในเวลาไม่ถึง 5 ปี ครองตลาดในอเมริกาเหนือและลาตินอเมริกากว่าร้อยละ 45 ในขณะที่ทีมงาน RIM เต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์ มีการส่งเสริมวัฒนธรรม “ทำงานอย่างสนุก” เช่น จัดฉายภาพยนตร์ในคืนวันศุกร์ให้พนักงานดูร่วมกัน
ความรุ่งเรืองของ BB ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด จนกระทั่งวันที่สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) แห่ง Apple เปิดตัว iPhone ในงาน MacWorld วันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2007 พร้อมกับการถือกำเนิดของระบบปฏิบัติการ Android และแอปพลิเคชันส่งข้อความอย่าง WhatsApp และ LINE ที่เข้ามาเปลี่ยนโลกการสื่อสารทั้งหมด แต่ผู้ก่อตั้ง BB ยังคงเชื่อมั่นในแป้นพิมพ์และระบบความปลอดภัยของตนเอง จึงเลือก “พัฒนาในสิ่งที่ถนัด” มากกว่าการปรับตัว ผลคือผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่โทรศัพท์จอสัมผัสและแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์มากกว่า1/
แม้ในภายหลัง BB จะพยายามออกเครื่องจอสัมผัส แต่ก็สายเกินไป ยอดขายตกลงอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายบริษัทต้องเผชิญคดีอื้อฉาว เรื่องการให้สิทธิพนักงานซื้อหุ้นแบบผิดกฎหมายในแคนาดา ก่อนจะประกาศยุติการผลิตโทรศัพท์อย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 2016

คลิกชมภาพยนตร์ตัวอย่าง BlackBerry
การปิดตำนานโทรศัพท์ BlackBerry คือบทเรียนสำคัญทั้งในเชิงธุรกิจ เทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภค แม้จะมีวัฒนธรรมองค์กรที่สร้างสรรค์และมุ่งมั่น แต่การ “ยึดติดกับความสำเร็จเดิม” กลับกลายเป็นกับดักที่ทำให้พลาดโอกาสสำคัญในการปรับตัว การมาของ iPhone และ Android ได้เปลี่ยนเกมมือถือทั้งหมด ด้วยระบบนิเวศที่ครบกว่าและตอบโจทย์ผู้ใช้ได้ดีกว่า BlackBerry จึงตอกย้ำบทเรียนที่ว่า “ความสำเร็จในอดีตไม่อาจการันตีอนาคต หากไม่ปรับตัวตามเทคโนโลยีและความต้องการของผู้บริโภค ที่เปลี่ยนไปเสมอ”
บทความโดย :
รณดล นุ่มนนท์
6 ตุลาคม 2568
หมายเหตุ:
1/ พิราภรณ์ วิทูรัตน์, BlackBerry หายไปไหน? เคยเป็นเบอร์ 1 แต่เจ๊งเพราะอีโก้เยอะ ไม่ยอมปรับตัว, Bangkokbiznews,
12 สิงหาคม 2024 เวลา 17:13 น. https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1139770

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา