
"...ถ้อยคำที่ผู้ถูกร้องกล่าว วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่า เป็นการแสดงถึงความอ่อนแอทางการเมืองภายในประเทศ ให้กัมพูชาซึ่งเป็นประเทศคู่ขัดแย้งทราบ และหากถูกเผยแพร่ออกไปถึงกัมพูชา จะเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชานำข้อมูลดังกล่าวมาใช้แทรกแซงกิจการภายในของประเทศได้..”
วิบากกรรมของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย จากกรณีคลิปเสียงสมเด็จฮุนเซนยังไม่จบสิ้น
หลังจากโดนดาบแรกต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยข้อหากระทำการที่มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง จากการขาดจริยธรรมจำนวนหลายเรื่องในการสนทนาทางโทรศัพท์กับสมเด็จฮุนเซน

และอาจตามด้วยดาบสองจากคำร้องที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในกรณีเดียวกัน ซึ่งน่าจะใช้ข้อเท็จจริงที่ศาลรัฐธรรมนูญรับฟังเป็นยุติแล้ว ชี้มูลว่าฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งจะต้องเสนอเรื่องไปยังศาลฎีกาเพื่อมีคำสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปี
ยังจะมีดาบสามตามมาอีกถึงขั้นจะทำให้พรรคเพื่อไทยอาจถูกยุบ เนื่องจาก พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 45 บัญญัติข้อห้ามไว้ว่า “ห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง กระทำการ หรือส่งเสริม สนับสนุน ให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการก่อกวน หรือคุกคาม ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน .....” ซึ่งจะเป็นเหตุให้ กกต.ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรคการเมืองที่มีการกระทำเช่นนี้ และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค ตามมาตรา 92
ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตอนหนึ่งระบุถึงการกระทำของนางสาวแพทองธาร ผู้ถูกร้อง ซึ่งนอกจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังมีอีกฐานะหนึ่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคเพื่อไทย ว่า
“เมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ผู้ถูกร้องใช้ในการสนทนา ประกอบกับบริบทการสนทนาตามคลิปเสียงทั้งหมดแล้ว ในส่วนที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 พลโทบุญสิน พาดกลาง ซึ่งผู้ถูกร้องชี้แจงและเบิกความว่าเป็น การใช้เทคนิคการเจรจาแบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล เพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง โดยมุ่งหมายจะลดความตึงเครียดระหว่างกันนั้น
เห็นว่าผู้ถูกร้องกล่าวถึงตนเองกับสมเด็จฮุนเซนรวมกันเป็นฝั่งหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า "เรา" และกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ถูกร้องว่าเป็น "คนของฝั่งตรงข้ามกับเรา" รวมทั้งตำหนิแม่ทัพภาค 2 ว่าพูดในสิ่งที่ "ไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ" พฤติการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า มีการแบ่งข้างเชิงความคิดด้านความมั่นคงของประเทศ เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา และเกิดความไม่เป็นเอกภาพระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ
ถ้อยคำที่ผู้ถูกร้องกล่าว วิญญูชนย่อมเข้าใจได้ว่า เป็นการแสดงถึงความอ่อนแอทางการเมืองภายในประเทศ ให้กัมพูชาซึ่งเป็นประเทศคู่ขัดแย้งทราบ และหากถูกเผยแพร่ออกไปถึงกัมพูชา จะเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชานำข้อมูลดังกล่าวมาใช้แทรกแซงกิจการภายในของประเทศได้”
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตอนนี้ เป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้ข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติแล้วในส่วนที่นางสาวแพทองธารกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 พลโทบุญสิน พาดกลาง และได้นำมาวินิจฉัยว่า คำพูดของนางสาวแพทองธารดังกล่าว จะนำไปสู่การที่กัมพูชาจะนำไปใช้เป็นข้อมูลเพื่อแทรกแซงกิจการภายในของประเทศไทยได้ ซึ่งการแทรกแซงของกัมพูชาย่อมเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยของประชาชนชาวไทย ดังนั้น คำพูดของนางสาวแพทองธาร จึงเป็นการส่งเสริม สนับสนุน ให้กัมพูชาก่อกวนหรือคุกคามประเทศไทย

@ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร
อีกตอนหนึ่งของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับฟังข้อเท็จจริงว่า
“นอกจากนี้ผู้ถูกร้องยังแสดงท่าทียอมตนหรือยอมจำนนซึ่งหน้าให้สมเด็จฮุนเซนเสนอความต้องการของตนเองให้ผู้ถูกร้องทราบ และผู้ถูกร้องยินดีจะดำเนินการให้อย่างไม่มีเงื่อนไขหรือกำหนดขอบเขตการเจรจาต่อรองโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ หรือรักษาจุดยืนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ อันจะนำมาซึ่งผลประโยชน์ร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ แต่กลับเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชาสามารถหยิบยื่นข้อเรียกร้องใด ๆ ต่อฝ่ายไทยได้ตามความต้องการ
การเจรจาของผู้ถูกร้องดังกล่าวมีลักษณะเป็นการยืนยันว่าฝ่ายไทยโดยผู้ถูกร้องพร้อมที่จะเปิดด่านชายแดนไทยกัมพูชา ทั้งที่ผู้ถูกร้องทราบดีว่าการเข้าร่วมประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2568 ว่าที่ประชุมมีมติให้กองทัพหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาใช้อำนาจตามกฎหมายในการควบคุมจุดผ่านแดนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และแนวนโยบายของรัฐบาล โดยพิจารณาจากความเบาไปหาหนักและเท่าที่จำเป็น ซึ่งต่อมาฝ่ายกองทัพได้มีคำสั่งควบคุมการเปิดปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามชายแดนไทยกัมพูชาแล้ว เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2568 และยังไม่มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อเปลี่ยนแปลงมติดังกล่าวแต่อย่างใด.....”
จากข้อเท็จจริงส่วนนี้ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า
“การกระทำของผู้ถูกร้องที่มีวัตถุประสงค์การเจรจาให้มีการเปิดด่านพร้อมกันกับกัมพูชา จึงเป็นไปเพื่อผลประโยชน์และความประสงค์ของสมเด็จฮุนเซน มากกว่าประโยชน์และความมั่นคงของชาติ อันเนื่องมาจากการพยายามรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัวของผู้ถูกร้องกับสมเด็จฮุนเซน.....โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานการณ์ด้านความมั่นคงในขณะนั้น อันเป็นผลประโยชน์ของชาติอันเป็นที่ตั้งแต่อย่างใด พฤติการในการกระทำของผู้ถูกร้องดังกล่าว ย่อมทำให้วิญญูชนเกิดความเคลือบแคลงสงสัยได้ว่า ผู้ถูกร้องจะยินยอมกระทำการตามฝ่ายกัมพูชา โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ เพราะเหตุที่ผู้ถูกร้องรู้จักกับสมเด็จฮุนเซนเป็นการส่วนตัว และจะดำเนินการในทางที่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายกัมพูชา.....เป็นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยไม่ยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ กรณีไม่จำต้องรอให้เกิดการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชา จึงจะถือว่าได้รับความเสียหายอันจะมีลักษณะร้ายแรงแต่อย่างใด”
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญส่วนนี้ เป็นกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้ข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติแล้ว ในส่วนที่นางสาวแพทองธารได้แสดงท่าทียอมตนหรือยอมจำนนซึ่งหน้าให้สมเด็จฮุนเซนเสนอความต้องการของตนเอง โดยนางสาวแพทองธารยินดีจะดำเนินการให้อย่างไม่มีเงื่อนไข ในลักษณะเป็นการยืนยันว่าฝ่ายไทยโดยนางสาวแพทองธารพร้อมที่จะเปิดด่านชายแดนไทยกัมพูชา ทั้งที่ทราบดีว่าสภาความมั่นคงแห่งชาติ มีมติให้กองทัพใช้อำนาจตามกฎหมายในการควบคุมจุดผ่านแดนจากความเบาไปหาหนัก โดยยังไม่มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อเปลี่ยนแปลงมติดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่นางสาวแพทองธารจะยินยอมกระทำการตามฝ่ายกัมพูชาโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ซึ่งการเปิดด่านชายแดนไทยกัมพูชา เป็นการลดมาตรการเพื่อกดดันกัมพูชาให้หยุดการรุกรานบริเวณชายแดนของประเทศไทย ซึ่งการรุกรานย่อมเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบของคนไทยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น การแสดงท่าทียอมตนหรือยอมจำนนที่จะเปิดด่านชายแดน โดยขัดกับมาตรการของหน่วยงานความมั่นคงที่ได้นำมาใช้เพื่อยุติการลุกล้ำอธิปไตยของประเทศไทยซึ่งมีผลกระทบต่อประชาชน โดยนางสาวแพทองธารจะทำให้มาตรการที่กำหนดไว้เบาลง แทนที่จะเพิ่มขึ้นจากเบาไปหาหนักในขณะที่ยังคงมีเหตุการณ์การปะทะกันอยู่ ตามมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ จึงมีลักษณะเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้กัมพูชากระทำการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยของประชาชนชาวไทย
การกระทำตามข้อเท็จจริงที่ศาลรัฐธรรมนูญรับฟังเป็นยุติและนำมาใช้ในการวินิจฉัยนางสาวแพทองธาร ซึ่งนอกจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังมีฐานะเป็นหัวหน้าพรรคหรือดำรงตำแหน่งในพรรคเพื่อไทย อันถือว่าเป็นการกระทำของพรรคเพื่อไทย โดยศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อนำเอาข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติและผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มาพิจารณาว่าเป็นการกระทำผิดตามกฎหมายอื่นอีกหรือไม่ จะเห็นว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนข้อห้ามของพรรคการเมืองที่เข้าองค์ประกอบการส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยของประชาชน ที่จะทำให้ กกต.ต้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคเพื่อไทย
พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 92 กำหนดให้เมื่อ กกต.มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการ หรือส่งเสริม สนับสนุน ให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการก่อกวน หรือคุกคาม ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค
คณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ตามที่ปรากฏในเว็บไซด์ของพรรคเพื่อไทยปัจจุบัน ประกอบด้วย
1. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร
2. นายชูศักดิ์ ศิรินิล
3. นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์
4. นายโอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย
5. นางสาวจิราพร สินธุไพร
6. นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ
7. นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล
8. นายสรวงศ์ เทียนทอง
9. นางสาวศรีญาดา ปาลิมาพันธ์
10. นางสาวลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์
11. นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ
12. นายทวีศักดิ์ อนรรฆพันธ์
13. นายณณัฏฐ์ หงส์ชูเวช
14. นายดนุพร ปุณณกันต์
15. นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์
16. นายวรวงศ์ วรปัญญา
17. นายพชร จันทรรวงทอง
18. นายนิกร โสมกลาง
19. นายธิติวัฐ อดิศรพันธ์กุล
20. นายพลนชชา จักรเพ็ชร
21. นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ
22. นางสาวสรัสนันท์ อรรณนพพร
เชื่อว่าปัจจุบันมีผู้ยื่นเรื่องนี้ไปยัง กกต.แล้ว
จึงเป็นวิบากกรรมดาบสามที่อดีตนายกรัฐมนตรีต้องเผชิญ ซึ่งกรณีนี้มีกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยรวมอยู่ด้วย

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา