
"...การจัดตั้งรัฐบาลผสมของไทยโฟกัสไปที่ตำแหน่งรัฐมนตรี อันสัมพันธ์กับเก้าอี้ ส.ส. ที่แต่ละพรรคจะได้รับ หมายความว่าการเมืองไทยใช้วิธีคิดคำนวณโดยตรงว่า พรรคนี้มีส.ส.เท่านี้ ได้โควต้ารัฐมนตรีเท่าใด โดยไม่ได้คิดถึงคุณภาพ คุณสมบัติของคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง และผลงานที่จะทำในอนาคต..."
หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ “ความเป็นรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธารสิ้นสุดลงเฉพาะตัว “ความเป็นนายกรัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธารจึงพ้นไปด้วยและมีผลให้คณะรัฐมนตรีพ้นตำแหน่งตาม แต่รัฐธรรมนูญให้คณะรัฐมนตรีอยู่รักษาการได้ เว้นแต่ตัวนายกรัฐมนตรี
พลันสิ้นคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ การเมืองไทยก็เริ่มเข้าสู่โหมดใหม่ คือ การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ แต่ด้วยความที่ไม่มีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมาก จึงต้องตั้งรัฐบาลผสม (coalition government formation) อีกครั้งหนึ่ง
การแข่งขันจัดตั้งรัฐบาลผสมแบ่งได้เป็นสองปีก
ปีกหนึ่งนำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ร่วมกับพรรคอื่น ได้แก่ พลังประชารัฐ กล้าธรรม ประชาธิปไตยใหม่ ฯลฯ
โดยมีพรรคประชาชนซึ่งได้เสียงข้างมากที่สุดในสภาเป็นผู้ประกาศจุดยืนว่าจะสนับสนุนให้กลไกรัฐสภาเดินหน้าไปได้ โดยไม่ต้องอาศัยวิธีการอย่างอื่นที่ไม่สะท้อนความเป็นประชาธิปไตย
พรรคประชาชนเสนอเงื่อนไข 3 ข้อว่า (1) ต้องยุบสภาภายในสี่เดือน (2) ต้องแก้กฎหมายประชามติ และตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ (3) ย้ำจุดยืนว่าจะเป็นฝ่ายค้าน
ส่วนอีกปีกหนึ่ง ได้แก่ พรรคเพื่อไทยกับพันธมิตรที่เป็นรัฐบาลผสมชุดเดิม
ปัญหาอยู่ที่ปีกใดจะได้เสียงข้างมาก โดยมีพรรคประชาชนเป็นตัวแปร เพราะขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้สัมภาษณ์ว่ารับเงื่อนไขของพรรคประชาชนนั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย ก็ให้สัมภาษณ์ว่าจะไปคุยกับพรรคประชาชน แถมยังมีการสำทับใหม่ว่านายภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะรักษาการก็สามารถถวายคำแนะนำการยุบสภาต่อพระมหากษัตริย์ได้ ซึ่งอาจมีปัญหาข้อกฎหมายตามมา
ข้อที่น่าคิดมี 3 ประเด็น ประเด็นแรก การจัดตั้งรัฐบาลผสมในบริบทสากลนั้น เขาอาศัยหลักการอะไร ประการที่สอง การจัดตั้งรัฐบาลผสมแบบไทย ๆ กรณีหลังนางสาวแพทองธารพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนี้ มีลักษณะเฉพาะตัวอย่างไร และประการที่สาม กรณีพรรคประชาชน
1. หลักการจัดตั้งรัฐบาลผสมในบริบทสากล
ในทางวิชาการ การจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นการแข่งขันกันทางการเมืองตามกติกาของรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีฐานะเป็นเกมและทฤษฎีเกี่ยวกับความร่วมมือกันและไม่ร่วมมือกัน (cooperative and noncooperative game-theoretic models)
นักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรต้องแข่งกันว่าใครจะร่วมมือกัน และใครจะไม่ร่วมมือกัน โดยอาศัยแรงจูงใจทางการเมือง
ส่วนแรงจูงใจทางการเมืองจะขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ส่วนรวมกับผลประโยชน์ส่วนตัว อาจแบ่งออกเป็น 4 ปัจจัย
(1) แรงจูงใจของตำแหน่ง (office-seeking) หมายความว่า แต่ละพรรคจะได้ตำแหน่งกี่ตำแหน่ง อะไรบ้าง จะอยู่ได้นานแค่ไหน อยู่แล้วจะทำอะไรได้บ้าง ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม
ในแง่ของทฤษฎีเกม การต่อรองตำแหน่งขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์และพฤติกรรมของตัวแสดงที่เป็นผู้เจรจา เช่น ผู้ที่ประนีประนอมมากกว่าย่อมต่อรองได้ดีกว่าผู้ที่ประนีประนอมน้อยกว่า
(2) แรงจูงใจของนโยบาย (policy-seeking) หมายความว่าการที่พรรคตัวเองไปร่วมเป็นรัฐบาลผสมนั้น นโยบายของพรรคตัวเองจะมีผลต่อนโยบายของรัฐบาลโดยรวมเพียงใด ซึ่งสัมพันธ์กับการมีหรือไม่มีอุดมการณ์ของพรรคและตำแหน่งที่ต่อรองกัน เช่น ในประเทศตะวันตก พรรคสังคมนิยมหรือพรรคคริสเตียนจะต่อรองเป็นรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน กิจการสังคม หรือไม่ก็กระทรวงสาธารณสุข
ในต่างประเทศ การเจรจาต่อรองกันจัดตั้งรัฐบาลจะรวมถึงการต่อรองเรื่องนโยบายด้วย เพราะถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากต้องคำนึงว่าจะทำอะไรให้ประเทศชาติตามนโยบาย ไม่ใช่พูดลอย ๆ
(3) แรงจูงใจของการเลือกตั้ง (voter-seeking) หมายความว่า การเข้าไปเป็นรัฐบาลผสมนั้น พรรคจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
(4) แรงจูงใจของอุดมการณ์ (ideology-seeking) หมายความว่า รัฐบาลผสมจะยึดอุดมการณ์อะไร เช่น พรรคหนึ่งมีอุดมการณ์อนุรักษ์นิยม (conservative) ส่วนอีกพรรคหนึ่งมีอุดมการณ์เสรีนิยม (liberalism) รัฐบาลผสมจะรวมอุดมการณ์ทั้งสองนี้เข้าด้วยกันได้อย่างไร แต่ถ้าพรรคต่าง ๆ มีอุดมการณ์ที่หลากหลายและแตกต่างกันมาก การรวมกันเป็นรัฐบาลผสมก็กระทำได้ยาก หรือมีผลให้รัฐบาลขาดแกนนโยบาย (policy core)
แรงจูงใจทั้งสี่ประการนี้ทำให้การเมืองของการจัดตั้งรัฐบาลผสมเป็นพลวัต (dynamics) เพราะเกิดการแข่งขันกันระหว่างพรรคการเมืองขณะที่มีการจัดตั้งรัฐบาล ขณะเดียวกัน พรรคเดียวกันก็ยังมีการแข่งขันกันเองภายในพรรคอีกด้วย

2. การจัดตั้งรัฐบาลผสมแบบไทย ๆ
ขณะที่ไม่มีนายกรัฐมนตรี พรรคต่าง ๆ แข่งกันจัดตั้งรัฐบาลผสม ทว่าพรรคการเมืองไทยส่วนใหญ่เป็นพรรคไม่มีอุดมการณ์ (a party without ideology) หรือที่กุนเธอร์และไดมอนด์ (Gunther & Diamond, 2003) ในบทความ ชื่อ “Species of political party: a new typology” เรียกว่า “พรรคนักเลือกตั้ง” (electoralist party)
การจัดตั้งรัฐบาลผสมของไทยจึงมุ่งไปที่การได้อำนาจและตำแหน่งมากกว่าอย่างอื่น นอกจากน่าจะไม่ได้คิดถึงนโยบายแล้ว ยังอาจไม่ได้คิดถึงผลของการเลือกตั้งที่จะมีในครั้งต่อไปด้วย เพราะสังเกตได้ว่านักการเมืองไทยส่วนใหญ่มุ่งให้ได้ตำแหน่งวันนี้ก่อน
ข้อที่น่าสังเกต คือ ไทยเรามีลักษณะพิเศษข้อหนึ่ง ตรงที่พรรค ๆ หนึ่งอาจแบ่งสมาชิก (split) ตัวเองออกไปสนับสนุนพรรคแตกต่างกันได้ด้วย ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากพรรคที่ตนสังกัดหรือไม่ก็ตาม แสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระของสมาชิกพรรคการเมืองไทยที่มีการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ซึ่งน่าจะมากกว่าประเทศใด ๆ
การจัดตั้งรัฐบาลผสมของไทยโฟกัสไปที่ตำแหน่งรัฐมนตรี อันสัมพันธ์กับเก้าอี้ ส.ส. ที่แต่ละพรรคจะได้รับ หมายความว่าการเมืองไทยใช้วิธีคิดคำนวณโดยตรงว่า พรรคนี้มีส.ส.เท่านี้ ได้โควต้ารัฐมนตรีเท่าใด โดยไม่ได้คิดถึงคุณภาพ คุณสมบัติของคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง และผลงานที่จะทำในอนาคต
การจัดตั้งรัฐบาลผสมของไทยจึงมีผลกระทบต่อประสิทธิผลของการเป็นรัฐบาล (governance effectiveness) เพราะไม่แน่ว่ารัฐมนตรีจะมีความรู้ความสามารถเพียงพอหรือไม่ ที่ผ่านมา จึงใช้วิธีปรับรัฐบาลบ่อย ๆ เพื่อเกลี่ยเก้าอี้รัฐมนตรีเพื่อให้เป็นกันได้ทั่วถึงมากที่สุด เพราะทำให้ส.ส.พอใจมากที่สุดและมีผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลให้อยู่ได้นานที่สุด
อย่างไรก็ตาม พรรคใหญ่ที่มีจำนวนเสียงจากการเลือกตั้งมากกว่าพรรคอื่น ย่อมมีอำนาจต่อรองมากกว่าพรรคอื่น อันเป็นกฎเกณฑ์สากล
3. กรณีของพรรคประชาชน
กรณีที่พรรคประชาชนประกาศจุดยืนว่าจะสนับสนุนรัฐบาล แต่จะเป็นฝ่ายค้าน และเสนอเงื่อนไขให้รัฐบาลยุบสภาภายในสี่เดือน น่าจะเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับประเทศไทย และสามารถมองได้หลายแง่มุม
ด้านหนึ่ง คือ พรรคประชาชนกำลังประกาศจุดยืนทางนโยบาย (policy manifestoes) ว่าเป็นพรรคประชาธิปไตย ประสงค์ที่จะแก้ปัญหาโดยใช้กลไกรัฐสภาตามกรอบของรัฐธรรมนูญเท่านั้น
แต่อีกด้านหนึ่งนั้น พรรคประชาชนถูกวิจารณ์ว่าไม่กล้าเข้าไปยุ่งเหยิงกับการแก้ไขปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงด้วยตัวเอง
ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจชะงักงันและอาจถึงขั้นถดถอยจากตัวเลข GDP ที่ลดลง และปัญหาการคลังของรัฐที่เก็บภาษีไม่เข้าเป้า จนถึงขั้นจะเพิ่มภาษี VAT ขณะที่รายจ่ายเพิ่มขึ้น และน่าจะเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเกิดเงินเฟ้อพร้อมกัน (stagflation) ยิ่งกว่านั้นยังมีปัญหาการลงทุนทั้งการลงทุนภายในและต่างประเทศ
ส่วนทางสังคม เกิดความเหลื่อมล้ำ ความยากจนและความยากลำบากในการดำรงชีวิตทั่วทุกหัวระแหง
ในทางการเมือง เกิดความไม่วางใจรัฐบาล และการกระทำที่ไม่ชอบธรรมของรัฐบาล ผลโพลของสำนักต่าง ๆ ช่วยสนับสนุนข้อเท็จจริงว่าประชาชนไว้วางใจนักการเมืองน้อยลง
สำหรับปัญหาชายแดน ยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ พรรคประชาชนมีอุดมการณ์เสรีนิยม (liberalism) อาจเลยไปถึงขั้นการเป็นอิสรชนนิยม (libertarianism) คือ เชื่อมั่นในอำนาจของปัจเจก และต่อต้านรัฐ อาจถึงขั้นไม่ต้องการให้รัฐเข้ามาแทรกแซงใด ๆ รวมทั้งบางครั้งยังมีสมาชิกพรรคแสดงความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์กับทหาร เพราะเชื่อว่าหากให้ทหารมีอำนาจมาก จะยิ่งทำลายความเป็นอิสระของปัจเจก หรือแม้แต่ทำลายประชาธิปไตย
แต่ประเทศไทยกลับเกิดปัญหาความมั่นคงเรื่องเขตแดนขึ้นมาซึ่งต้องพึ่งพาทหาร ถึงขั้นเกิดสงครามห้าวันระหว่างไทยกับกัมพูชา ทหารตายและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง และมีประชาชนสนับสนุนทหารจำนวนมาก
ปัญหานี้ย่อมแก้ไขไม่ง่าย เพราะปัญหาเขตแดนเกิดจากการอ้างสิทธิจากแผนที่คนละฉบับ และชนวนสงครามเกิดจากการเจรจาที่ผิดพลาด สาเหตุหลัก ๆ น่าจะมาจากการหมิ่นศักดิ์ศรีกัน
พรรคประชาชนไม่ได้มีจุดยืนชัดเจนเรื่องการแก้ปัญหาชายแดนและการเจรจา โดยเฉพาะความไว้วางใจของพรรคประชาชนกับฝ่ายทหารที่เป็นฝ่ายความมั่นคง
อีกทั้งพรรคประชาชนรู้ดีว่าระยะเวลาสั้น ๆ เพียงสี่เดือน ไม่มีรัฐบาลใดสามารถแก้ไขปัญหาอันหนักหน่วงข้างต้นได้
การที่พรรคประชาชนเสนอเงื่อนไขว่าจะสนับสนุนพรรครัฐบาล แต่มีข้อแม้ว่าต้องยุบสภาภายในสี่เดือนนับแต่วันแถลงเข้ารับตำแหน่ง ทั้งกำหนดเงื่อนไขให้รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขกฎหมายประชามติและอาจรวมไปถึงข้อเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคต
จึงเป็นความได้เปรียบฝ่ายเดียวของพรรคประชาชน เพราะพรรคประชาชนสามารถรอความสำเร็จในการเลือกตั้งในครั้งหน้าได้ในเวลาอีกไม่นาน โดยที่ตัวเองไม่ต้องลงมือทำอะไร
สมมติว่ารัฐบาลผสมทำไม่ได้ตามเงื่อนไขหรือแก้ปัญหาประเทศไม่ได้ ก็ย่อมเป็นความผิดของรัฐบาลฝ่ายเดียว สถานะของพรรคประชาชนในอนาคตเป็นฝ่ายค้านตามที่ตกลงกันไว้
แต่ครั้นเมื่อรัฐบาลผสมสามารถแก้ไขกฎหมายประชามติและอาจรวมไปถึงข้อเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย ก็ยิ่งทำให้พรรคประชาชน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพรรคเสรีนิยม ที่มีความคิดก้าวหน้า ได้รับความนิยม และแสดงให้เห็นถึงความพยายามผลักดันให้ประเทศก้าวหน้า
เงื่อนไขของพรรคประชาชนฝ่ายเดียว จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้พรรคประสบความสำเร็จในการได้เสียงข้างมากในอนาคต (as an essential condition for achieving majority status in the future)
ทว่าในมุมกลับ การเมืองไทยและพรรคการเมืองไทยเป็นกระบวนการเชิงสุ่ม (a stochastic process) ที่ยากจะคาดการณ์ได้ มักเกิดวิกฤติจากเหตุแทรกซ้อนอย่างฉับพลันเสมอ

สิ่งที่น่ากังวลมี 3 ประการ ได้แก่
(1) ถ้ารัฐบาลผสมที่มีพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ไม่สามารถแก้กฎหมายและทำตามเงื่อนไขของพรรคประชาชนได้ อะไรจะเกิดขึ้น
กรณีของพรรคภูมิใจไทยเป็นแกนนำรัฐบาล น่าจะนุ่มนวลและประนีประนอมกว่า ถ้าหากพรรคภูมิใจไทยไม่สามารถทำตามเงื่อนไขภายในสี่เดือนตามที่พรรคประชาชนกำหนด ก็อาจมีข้อแก้ตัวที่น่ารับฟังและคล้อยตามได้ เช่น พรรคภูมิใจไทยน่าจะแสดงให้เห็นว่าได้พยายามทำตามเต็มที่แล้ว ซึ่งน่าจะยืดหยุ่นกว่าพรรคเพื่อไทย ระยะเวลาการยุบสภาจึงอาจไม่เป็นสี่เดือนตรง เช่น อาจยืดออกไปบ้าง
แต่ถ้าแกนนำรัฐบาลเป็นพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีท่าทีแข็งกร้าวกว่าและกล้าหักหาญมากกว่า เพราะเคยชินกับการเป็นแกนนำมากกว่า ก็น่าจะจบลงด้วยการที่พรรคประชาชนนำทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจ จนทำให้เกิดการยุบสภา เกิดความร้าวฉานทางการเมือง และมีผลต่อเนื่องไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลผสมภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป
นอกจากนั้น นอกจากการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของรัฐบาลแล้ว นโยบายต่าง ๆ ของประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยอย่างไรหรือไม่ โดยเฉพาะปัญหาชายแดน
หากการเปลี่ยนรัฐบาลไม่สามารถทำให้ปัญหาชายแดนเปลี่ยนแปลง การจัดตั้งรัฐบาลผสม ก็น่าจะไม่เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมเท่าที่ควร
แต่ถ้าจะเปลี่ยนแปลง รัฐบาลผสมมีแนวนโยบายในการแก้ปัญหาชายแดนและทหารอย่างไรที่ชัดเจนและถูกใจพรรคประชาชน
(2) รัฐบาลผสมที่กำลังใกล้จะเลือกตั้งทั่วไป อาจขยายสิทธิเสรีภาพและสวัสดิการแก่ประชาชนอย่างกว้างขวางจนเกินฐานะการคลังของประเทศ เช่น การเร่งจ่ายเงินงบประมาณหรือสร้างโครงการใหม่ ๆ เพื่อหาความนิยมทางการเมือง
(3) ระบบราชการไทยในช่วงรัฐบาลผสมย่อมเป็นระบบราชการที่สโลว์ดาวน์ การบริหารงานของรัฐบาลผสมกระทำในขณะที่ระบบราชการไทยได้เข้าสู่โหมด “เป็ดง่อย” กำลังเหยียบเบรกเครื่องยนต์ เพื่อชะลอความเร็ว และคอยเงี่ยหูฟังว่าใครจะมีอำนาจเป็นรัฐบาลใหม่
ข้าราชการไทยกำลังจะติดป้ายผ้าผืนใหญ่หน้ากระทรวงทบวงกรมตัวเองว่า “ท่านมาเราดีใจ ท่านจากไป เราไชโย”
บทความโดย :
ทนายบ้าน ๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา