
"...ซึ่งคำพูดทั้ง 2 ประเด็น ที่เปลี่ยนแปลงใหม่แต่ยังคงเจตนาและหลักการเช่นเดิมดังกล่าว จะหักล้างการแสดงถึงการอ่อนข้อทุกเรื่องให้กับประเทศคู่กรณี และการแสดงถึงความแตกแยกระหว่างนายกรัฐมนตรีที่นางสาวแพทองธารดำรงตำแหน่งอยู่ กับผู้บังคับบัญชาหน่วยทหาร ได้หรือไม่ หรือกลับจะยิ่งเป็นการชี้ชัดลงไปใน 2 เรื่องนี้อีก ซึ่งยังคงกระทบกระเทือนต่อความมั่นคง อันเป็นการไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมที่มีความสำคัญ ในข้อ 6 หากฝ่าฝืนถือว่ามีความร้ายแรง..."
เมื่อมีคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลไม่ว่าจะเป็นศาลใด ย่อมเป็นเรื่องที่ศาลจะให้คู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นโจทก์กับจำเลย หรือผู้ร้องกับผู้ถูกร้อง ได้มีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะฝ่ายที่ถูกกล่าวหาย่อมต้องการที่จะต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อให้ตนเองพ้นจากข้อกล่าวและไม่ต้องรับผิด จึงต้องพยายามหาพยานหลักฐานหรือคำอธิบายต่าง ๆ เพื่อหักล้างข้อกล่าวหาให้ได้มากที่สุด ในคดีศาลรัฐธรรมนูญ ที่กลุ่ม สว.36 คน ยื่นถอดถอนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากศาลมีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาแล้ว นางสาวแพทองธารได้ส่งเอกสารคำชี้แจงให้กับศาลรัฐธรรมนูญไปแล้ว ตั้งแต่ช่วงวันที่ 4 ส.ค.2568 ที่มีความยาวมากถึงประมาณ 80 หน้า
โดยประเด็นที่ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาหรือหยิบยกขึ้นมาเพื่อทำลายน้ำหนักของคำร้อง รวมถึงการโต้แย้งอำนาจพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สรุปได้ 11 ประเด็น ซึ่งผู้เขียนได้รวบรวมความเห็นจากนักวิชาการ นักวิเคราะห์ทางการเมือง การแสดงความเห็นของนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล รวมทั้งประชาชนที่ให้ความเห็นผ่านสื่อต่าง ๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ในเชิงคุณภาพ โดยให้คะแนนด้วยการประเมิน 2 แบบ คือ แบบเข้มงวด (เป็นกลาง) และแบบผ่อนปรน (เอนเอียงไปทางฝ่ายนางสาวแพทองธาร) ดังนี้

ต่อมาในวันที่ 21 ส.ค.2568 ศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีการการไต่สวนเพื่อแสวงหาเท็จจริงเพิ่มเติมจากพยานบุคคล โดยให้โอกาสนางสาวแพทองธารเข้ารับการไต่สวนด้วยการตอบคำถามด้วยวาจาโดยตรงในห้องพิจารณาของศาล พร้อมกับนำพยานอีก 1 ปาก ที่ศาลอนุญาตเข้ารับการไต่สวนเพื่อเป็นประโยชน์ต่อนางสาวแพทองธารตามที่ขอไว้ในคำชี้แจง
หากการไต่สวนมีการตั้งคำถามว่า ถ้านางสาวแพทองธารรู้ว่าจะมีการอัดคลิปเสียงสนทนาระหว่างตนเองกับสมเด็จฮุนเซน นางสาวแพทองธารจะพูดด้วยถ้อยคำแบบเดียวกับที่ปรากฏในคลิปเสียงที่เป็นเหตุแห่งการยื่นคำร้องนี้หรือไม่ เชื่อว่านางสาวแพทองธารจะต้องตอบให้สอดคล้องกับคำชี้แจงที่ได้ยื่นเป็นเอกสารต่อศาลไปแล้ว โดยน่าจะตอบว่า หากรู้ว่ามีการอัดคลิปสียงและจะถูกนำออกมาเผยแพร่ ก็ยังคงจะพูดที่มีเนื้อหาเช่นเดียวกับที่ปรากฏในคลิปเสียง แต่จะระมัดระวังคำพูดให้มากขึ้น โดยใช้ถ้อยคำที่ไม่ก่อให้เกิดการเข้าใจผิดของบุคคลอื่นที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ได้รับฟังคลิปเสียงในภายหลัง
จึงขอยกตัวอย่างคำพูดที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปถ้ารู้ว่ามีการอัดคลิป ในประเด็นที่ 3 ซึ่งนางสาวแพทองธารพูดกับสมเด็จฮุน เซน ว่า “จริง ๆ แล้ว ถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” และประเด็นที่ 4 ที่พูดว่า “ไม่อยากให้อังเคิลไปฟังคนตรงข้ามกับเรา อย่างพวกแม่ทัพภาค 2 เขาอยากจะดูเท่ เขาก็พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ”
คำพูดประเด็นที่ 3 เป็นการพูดที่คนทั่วไปเห็นว่า ทำให้ดูเสมือนว่าประเทศไทยอยู่ในสถานะเป็นเบี้ยล่างของประเทศคู่กรณี ที่นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยพร้อมจะทำทุกเรื่องตามที่ประเทศคู่กรณีบอกมา ซึ่งยังเป็นข้อสงสัยของประชาชนโดยทั่วไปว่า การจะจัดการให้กับประเทศคู่กรณีทุกเรื่อง เป็นไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับความสงบบริเวณชายแดนแต่เพียงอย่างเดียว หรือมีอะไรมากกว่านั้นจึงได้โอนอ่อนผ่อนตามผู้นำประเทศคู่กรณีเกินสมควรกว่าเหตุ ซึ่งบุคคลในระดับนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่เป็นประเทศที่มีระดับการพัฒนาสูงกว่า ไม่ควรที่จะใช้คำพูดเช่นนี้กับประเทศคู่กรณีที่มีความด้อยกว่าในทุกเรื่อง อันเป็นการไม่รักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ
โดยคำชี้แจงประเด็นนี้ที่เป็นเอกสารระบุว่า มีเจตนาให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญคือการตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา แต่มุ่งทำความเข้าใจความต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นำมาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไข ที่จะนำไปสู่การยุติความตึงเครียดที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด
หากนางสาวแพทองธารรู้ว่ามีการอัดคลิปเสียง คำพูดในประเด็นนี้ที่ยังจะต้องคงเนื้อหาหลักตามที่ปรากฏในคลิปเสียง แต่มีการระมัดระวังคำพูดมากขึ้น โดยใช้ถ้อยคำที่ไม่ก่อให้เกิดการเข้าใจผิด รวมทั้งยังเป็นไปตามหลักการและเทคนิคการเจรจาตามที่ระบุไว้ในคำชี้แจง คำพูดใหม่น่าจะเป็นอย่างนี้
“สมเด็จฮุน เซน มีความประสงค์สิ่งใดสามารถแจ้งได้ทันที โดยจะใช้เวลาไม่นานในการดำเนินการเพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของสมเด็จฮุน เซน”
สำหรับคำพูดประเด็นที่ 4 ซึ่งผู้ที่ได้รับฟังส่วนใหญ่เห็นว่าไม่เหมาะสม เนื่องจากเป็นการพูดในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวถึงผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารในระดับแม่ทัพภาคที่ควบคุมพื้นที่ 1 ใน 4 ของประเทศ และอยู่ใต้บังคับบัญชาของตนเองลงไปตามลำดับชั้น โดยคำพูดมีความหมายว่า แม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ฝั่งหนึ่ง โดยมีตนเองและผู้นำประเทศคู่กรณีรวมกันเรียกว่า “เรา” อยู่ฝั่งตรงข้ามกับแม่ทัพภาคที่ 2 แห่งกองทัพไทย โดยท่อนแรกที่พูดว่า “ไม่อยากให้อังเคิลไปฟังคนตรงข้ามกับเรา อย่างพวกแม่ทัพภาค 2” เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีความแตกแยกภายในประเทศไทย โดยมีการแบ่งประชาชนออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งที่เห็นด้วยกับการกระทำของประเทศคู่กรณี และฝั่งที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งตนเองอยู่ฝั่งเดียวกับที่เห็นด้วยกับการกระทำของประเทศคู่กรณี คำพูดท่อนที่ 2 “เขาอยากจะดูเท่” และคำพูดท่อนที่ 3 “เขาก็พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ” เป็นการด้อยค่านายทหารระดับสูงที่ทำหน้าที่ป้องกันชายแดนที่ติดกับประเทศคู่กรณี เพื่อย้ำให้เห็นว่าตนเองอยู่ฝั่งเดียวกับประเทศคู่กรณีแต่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับทหารในประเทศของตนเอง
โดยคำชี้แจงที่เป็นเอกสารระบุว่า มีความจำเป็นต้องสื่อสารเพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง และเป็นการใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล
หากนางสาวแพทองธารรู้ว่ามีการอัดคลิปเสียง คำพูดในประเด็นนี้ที่ยังจะต้องคงเนื้อหาหลักตามที่ปรากฏในคลิปเสียง แต่มีการระมัดระวังคำพูดมากขึ้น โดยใช้ถ้อยคำที่ไม่ก่อให้เกิดการเข้าใจผิด รวมทั้งยังเป็นไปตามหลักการและเทคนิคการเจรจาตามที่ระบุไว้ในคำชี้แจง คำพูดใหม่น่าจะเป็นอย่างนี้
คำพูดท่อนแรกที่พูดว่า “ไม่อยากให้อังเคิลไปฟังคนตรงข้ามกับเรา อย่างพวกแม่ทัพภาค 2” น่าจะเปลี่ยนเป็นพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาให้สมเด็จฮุน เซน ที่เป็นเสมือนญาติผู้ใหญ่ที่มีสถานะเป็นลุงหรือพี่ชายของบิดาข้าพเจ้า ไปสนใจรับฟังกลุ่มบุคคลที่เป็นนายทหารระดับแม่ทัพภาค ที่ควบคุมกำลังทหารของประเทศไทย ในพื้นที่ทางภาคอีสานที่มีชายแดนติดกับกัมพูชา ซึ่งนายทหารกลุ่มนี้เป็นบุคคลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับสมเด็จฮุน เซน และข้าพเจ้า”
ส่วนคำพูดท่อนที่ 2 “เขาอยากจะดูเท่” และคำพูดท่อนที่ 3 “เขาก็พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ” น่าจะเปลี่ยนเป็นพูดว่า “นายทหารกลุ่มนี้เขาต้องการเพียงให้คนมองว่าเขาเป็นชายชาติทหารที่ดูดีในสายตาของคนทั่วไป” และท่อนที่ 3 เปลี่ยนเป็น “บางครั้งเขาจึงพูดบางอย่างออกมาที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติเท่าใดนัก”
ซึ่งคำพูดทั้ง 2 ประเด็น ที่เปลี่ยนแปลงใหม่แต่ยังคงเจตนาและหลักการเช่นเดิมดังกล่าว จะหักล้างการแสดงถึงการอ่อนข้อทุกเรื่องให้กับประเทศคู่กรณี และการแสดงถึงความแตกแยกระหว่างนายกรัฐมนตรีที่นางสาวแพทองธารดำรงตำแหน่งอยู่ กับผู้บังคับบัญชาหน่วยทหาร ได้หรือไม่ หรือกลับจะยิ่งเป็นการชี้ชัดลงไปใน 2 เรื่องนี้อีก ซึ่งยังคงกระทบกระเทือนต่อความมั่นคง อันเป็นการไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมที่มีความสำคัญ ในข้อ 6 หากฝ่าฝืนถือว่ามีความร้ายแรง
ทำให้จะยังคงต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อยู่อีกหรือไม่ ??
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก thairath.co.th

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา