
"...การให้คะแนนแบบเข้มงวด จะเห็นได้ว่าการประเมินภาพรวมของคำชี้แจงจะได้ 26.36 % และการประเมินรายประเด็น ได้คะแนนตั้งแต่ 5 คะแนนขึ้นไป 4 ประเด็น และต่ำกว่า 5 คะแนนลงมา 7 ประเด็น ถือว่าการประเมินแบบเข้มงวด สอบตกทั้งหมด ส่วนการให้คะแนนแบบผ่อนปรน ภาพรวมจะได้ 51.82 % ส่วนรายประเด็นได้คะแนนตั้ง 5 คะแนนขึ้นไป 7 ประเด็น และต่ำกว่า 5 คะแนนลงมา 4 ประเด็น ถือว่าสอบผ่าน..."
คำชี้แจงของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อหักล้างข้อกล่าวหาตามคำร้องของ สว.36 คน ที่ยื่นถอดถอนผ่านประธานวุฒิสภาไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งสำนักข่าวอิศราได้เผยแพร่ฉบับเต็มไปแล้ว มีทั้งประเด็นที่ฟังขึ้น ฟังขึ้นบางส่วน และฟังไม่ขึ้น เมื่อประเมินคำชี้แจงแต่ละประเด็นด้วยวิธีการฟังความเห็นจากนักวิชาการ นักวิเคราะห์ทางการเมือง การแสดงความเห็นของนักการเมืองทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล รวมทั้งประชาชนที่ให้ความเห็นผ่านสื่อต่าง ๆ แล้วนำมาวิเคราะห์ในเชิงคุณภาพ
โดยกำหนดให้ประเด็นที่ชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งสามารถหักล้างข้อกล่าวหาของผู้ร้องได้หมดสิ้น และส่งผลอย่างมากต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในทางที่เป็นบวกหรือไม่ทำให้นางสาวแพทองธารต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ให้ได้คะแนนเต็ม 10 คะแนน และลดหลั่นลงไปจนถึงคำชี้แจงที่ไม่สามารถหักล้างข้อกล่าวหาได้เลยหรือฟังไม่ขึ้นทั้งหมด ให้ได้ 0 คะแนน นอกจากนี้หากคำชี้แจงประเด็นนั้นกลับทำให้คำร้องมีน้ำหนักมากขึ้นซึ่งเป็นผลลบต่อนางสาวแพทองธารขึ้นอีก ให้ได้ต่ำกว่า 0 คะแนน หรือติดลบ โดยมีช่วงคะแนนจากน้อยไปหามากคือ ต่ำกว่า 0 คะแนน ส่งผลไม่ดี, 0 คะแนน ไม่ส่งผลใด ๆ 1-4 คะแนน ส่งผลดีน้อยมาก, 5-7 ส่งผลดีปานกลาง และ 8-10 คะแนน ส่งผลดีมาก โดยการประเมินเพื่อให้คะแนนมี 2 แบบ คือ แบบเข้มงวด (เป็นกลาง) และแบบผ่อนปรน (เอนเอียงไปทางฝ่ายนางสาวแพทองธาร)

ภาพ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร จาก www.innnews.co.th
คำชี้แจงของนางสาวแพทองธารประมาณ 80 หน้า สรุปเป็นประเด็นที่น่าสนใจได้ 11 ประเด็น ได้แก่ประเด็นที่ 1-7 เป็นเรื่องที่ผู้ร้องกล่าวหานางสาวแพทองธารที่ปรากฏอยู่ในคำร้อง ประเด็นที่ 8-10 เป็นเรื่องที่นางสาวแพทองธารยกขึ้นต่อสู้เพื่อทำลายน้ำหนักของคำร้องในภาพรวม และประเด็นที่ 11 เป็นเรื่องที่นางสาวแพทองธารโต้แย้งอำนาจพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ประเด็นที่ 1 ผู้ร้องกล่าวหาว่า การเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศ สามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอนและวิธีการเจรจาทางการทูต ไม่มีเหตุผลความที่จะต้องแอบเจรจากันเป็นการส่วนตัว
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ในการเจรจากิจการระหว่างประเทศ บางครั้งอาจจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนเงื่อนไขบางประการ การเจรจาในลักษณะสายตรงระหว่างผู้นำ หรือสายด่วนผู้นำ (Leader to Leader Hotline) เป็นวิธีการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการที่มีประสิทธิภาพและใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก การสนทนาครั้งนี้ก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับผู้นำประเทศอื่น ๆ และอยู่ภายใต้กรอบการเจรจาที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศเป็นสำคัญ เมื่อความพยายามของนายฮวดในการติดต่อเพื่อขอเจรจากับสมเด็จฮุน เซน ทางโทรศัพท์ไม่เกิดขึ้น แต่ในเวลาต่อมาเมื่ออยู่เพียงลําพัง นายฮวดได้โทรศัพท์กลับมาและขอให้มีการเจรจาแบบการสนทนาทางโทรศัพท์ร่วม การเจรจาแบบส่วนตัวจึงเกิดขึ้นซึ่งเป็นไปตามแนวทางที่จะต้องพูดคุยกับสมเด็จฮุน เซน อยู่แล้ว เช่นเดียวกับกรณีที่รองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) รมว.ต่างประเทศ (นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์) และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) จะยังอยู่ร่วมด้วยในการเจรจา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนาบริสุทธิ์และไม่ได้มีเจตนาที่จะแอบเจรจากันดังที่ผู้ร้องกล่าวหา
คะแนนแบบเข้มงวด = 6
คะแนนแบบผ่อนปรน = 8
เหตุผลการให้คะแนน : วิธีการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการได้รับการยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลายตามคำชี้แจง แต่ประเด็นนี้ส่งผลต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้พ้นตำแหน่งไม่มาก
ประเด็นที่ 2 ผู้ร้องกล่าวหาว่า ไม่ควรเรียกผู้นำประเทศที่กำลังมีการปะทะกันทางการทหารหรือสภาวะสงครามที่มีความขัดแย้งกันทางบูรณภาพแห่งดินแดนและอธิปไตยว่า uncle (แปลว่า คุณลุง)
คำชี้แจงสรุปได้ว่า บทสนทนาดังกล่าวเป็นไปในลักษณะของการแสดงเจตนารมณ์เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียด การเรียกสมเด็จฮุน เซน ว่า “uncle” เป็นการแสดงความเคารพในวัยวุฒิแก่คู่เจรจา และเป็นมารยาทที่รักษาปฏิบัติเรื่อยมาเป็นปกติวิสัยในการเจรจากับคู่สนทนาอย่างไม่เป็นทางการ อาทิ การเรียกอดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ว่า "อาหนู” หรือการเรียกรองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) ว่า “อาสุริยะ” หรือการเรียกเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ว่า “อาหมอ” จึงเห็นได้ว่าการใช้สรรพนามดังกล่าวสอดคล้องกับขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของสังคมไทย ดังนั้น การเรียกสมเด็จฮุน เซน ว่า “ uncle” จึงไม่ได้เจตนาแอบแฝงอื่นนอกจากมารยาททางสังคมและความพยายามในการสร้างความไว้วางใจเพื่อนำไปสู่ประเด็นการสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา เท่านั้น
คะแนนแบบเข้มงวด = 6
คะแนนแบบผ่อนปรน = 8
เหตุผลการให้คะแนน : การเรียกบุคคลที่อาวุโสกว่าโดยใช้สรรพนามเสมือนเป็นญาติผู้ใหญ่เป็นรูปแบบที่ใช้เรียกกันในสังคมไทย แต่การเจรจากับผู้นำต่างประเทศแม้จะไม่เป็นทางการ ควรใช้สรรพนามอย่างเป็นทางการ คำชี้แจงประเด็นนี้ส่งผลต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้พ้นตำแหน่งไม่มาก
ประเด็นที่ 3 ผู้ร้องกล่าวหาว่า ไม่ควรกล่าวว่า “จริง ๆ แล้ว ถ้าท่านอยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้”
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ถ้อยคำว่า “อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้” มีแต่เพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อนซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation) โดยการใช้เทคนิคสำคัญคือการตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง (Interest-Based) ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา แต่มุ่งทำความเข้าใจความต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น เพื่อจะได้นำมาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไข ที่จะนำไปสู่การยุติความตึงเครียดที่เกิดขึ้น โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด จะต้องนำเงื่อนไขไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อนเพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ
คะแนนแบบเข้มงวด = -2
คะแนนแบบผ่อนปรน = 2
เหตุผลการให้คะแนน : คำพูดที่ว่า อยากได้อะไรให้บอกมาได้เลย แม้จะเป็นไปตามหลักการเจรจาเชิงผลประโยชน์ เพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง อาจจะสามารถนำมาใช้กับการเจรจาครั้งนี้ได้อยู่บ้าง แต่เมื่อตามมาด้วยคำพูดว่า เดี่ยวจะจัดการให้ ทำให้ดูเสมือนว่าประเทศไทยอยู่ในสถานะเป็นเบี้ยล่างของประเทศคู่กรณี ที่นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยพร้อมจะทำทุกเรื่องตามที่ประเทศคู่กรณีบอกมา ซึ่งยังเป็นข้อสงสัยของประชาชนโดยทั่วไปว่า การจะจัดการให้กับประเทศคู่กรณีทุกเรื่อง เป็นไปเพื่อแลกเปลี่ยนกับความสงบบริเวณชายแดนแต่เพียงอย่างเดียวหรือไม่ จึงเป็นการโอนอ่อนผ่อนตามผู้นำประเทศคู่กรณีเกินสมควรกว่าเหตุ ซึ่งบุคคลในระดับนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่เป็นประเทศที่มีระดับการพัฒนาสูงกว่า ไม่ควรที่จะใช้คำพูดเช่นนี้กับประเทศคู่กรณีที่มีความด้อยกว่าในทุกเรื่อง อันเป็นการไม่รักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ตามมาตรฐานทางจริยธรรมที่มีความสำคัญ ในข้อ 6 การชี้แจงโดยอ้างหลักการเจรจาเชิงผลประโยชน์ไม่สามารถหักล้างข้อกล่าวหานี้ได้ กลับทำให้มีผลในทางลบต่อนางสาวแพทองธารยิ่งขึ้น และการชี้แจงว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด แสดงถึงความไม่ซื่อตรงในคำพูด อันเป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ตามมาตรฐานทางจริยธรรมที่มีความสำคัญ ในข้อ 8 และเป็นคุณสมบัติรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4)
ประเด็นที่ 4 ผู้ร้องกล่าวหาว่า ไม่ควรเรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย ซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อย่างเข้มแข็งเพื่อประเทศชาติและประชาชนว่า “ฝั่งตรงข้าม”
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ถ้อยคำที่กล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น “ฝั่งตรงข้าม” นั้น เนื่องมาจากความไม่พอใจของสมเด็จฮุน เซน ที่มีต่อแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นการเฉพาะเจาะจง จึงจำต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด เป็นความจำเป็นต้องสื่อสารเพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง ซึ่งสมเด็จฮุน เซน รู้สึกว่าเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับกัมพูชาในขณะนั้น และเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจที่อาจนำไปสู่การเปิดเจรจาในระดับทางการต่อไป เมื่อเกิดความเข้าใจผิดขึ้นก็ได้มีการชี้แจงและกล่าวคำขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2 แล้ว และแม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันต่อสาธารณชนว่าไม่ติดใจคลิปเสียงและไม่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรีกับแม่ทัพภาคที่ 2 และไม่ได้มีผลกระทบต่อการทำงานของกองทัพแต่อย่างใด
คะแนนแบบเข้มงวด = -2
คะแนนแบบผ่อนปรน = 2
เหตุผลการให้คะแนน : การพูดในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวถึงผู้บังคับบัญชาหน่วยทหารในระดับแม่ทัพภาคที่ควบคุมพื้นที่ 1 ใน 4 ของประเทศ และอยู่ใต้บังคับบัญชาของตนเองลงไปตามลำดับชั้น โดยคำพูดมีความหมายว่า แม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ฝั่งหนึ่ง โดยมีตนเองและผู้นำประเทศคู่กรณีรวมกันเรียกว่า “เรา” อยู่ฝั่งตรงข้ามกับแม่ทัพภาคที่ 2 แห่งกองทัพไทย โดยท่อนแรกที่พูดว่า “ไม่อยากให้อังเคิลไปฟังคนตรงข้ามกับเรา อย่างพวกแม่ทัพภาค 2” เป็นการแสดงให้เห็นว่ามีความแตกแยกภายในประเทศไทย โดยมีการแบ่งประชาชนออกเป็น 2 ฝั่ง คือฝั่งที่เห็นด้วยกับการกระทำของประเทศคู่กรณี และฝั่งที่ไม่เห็นด้วย ซึ่งตนเองอยู่ฝั่งเดียวกับที่เห็นด้วยกับการกระทำของประเทศคู่กรณี คำพูดท่อนที่ 2 “เขาอยากจะดูเท่” และคำพูดท่อนที่ 3 “เขาก็พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ” เป็นการด้อยค่านายทหารระดับสูงที่ทำหน้าที่ป้องกันชายแดนที่ติดกับประเทศคู่กรณี เพื่อย้ำให้เห็นว่าตนเองอยู่ฝั่งเดียวกับประเทศคู่กรณีแต่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับทหารในประเทศของตนเอง โดยคำชี้แจงระบุว่า มีความจำเป็นต้องสื่อสารเพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง และการชี้แจงว่าเป็นการใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ซึ่งไม่อาจหักล้างคำพูดที่แสดงถึงความแตกแยกระหว่างนายกรัฐมนตรีที่ตนเองดำรงตำแหน่งอยู่ กับผู้บังคับบัญชาหน่วยทหาร แต่กลับเป็นการชี้ชัดลงไปอีกถึงการแบ่งแยก และการชี้แจงว่าจำต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล ก็ไม่อาจหักล้างคำพูดที่เกิดขึ้นได้ ยังคงเป็นคำพูดที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคง อันเป็นการไม่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งเป็นมาตรฐานทางจริยธรรมที่มีความสำคัญ ในข้อ 8 อีกส่วนหนึ่ง โดยเป็นคำชี้แจงที่ส่งผลต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้พ้นตำแหน่งของนางสาวแพทองธารในทางลบมากกว่าทางบวก
ประเด็นที่ 5 ผู้ร้องกล่าวหาว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโทรศัพท์ไปเจรจากับสมเด็จฮุน เซน
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะโทรศัพท์ไปเจรจากับสมเด็จฮุน เซน เพียงลำพัง หากแต่เป็นสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ต้องรับโทรศัพท์นายฮวดและยอมให้เกิดการสนทนาทางโทรศัพท์ร่วมหลายฝ่าย (Conference call) โดยจะต้องพยายามแสวงหาโอกาสทุกวิถีทางเพื่อรักษาความสงบและสันติให้แก่บ้านเมือง การเจรจากับสมเด็จฮุน เซน จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในทางตรงกันข้ามการปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงที่จะเจรจากับสมเด็จฮุน เซน โดยมองข้ามโอกาสที่จะสร้างสันติภาพตามแนวชายแดน กลับเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งและมิใช่วิถีทางของผู้นำประเทศ จึงกระทำเมื่อพิจารณาถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ
คะแนนแบบเข้มงวด = 6
คะแนนแบบผ่อนปรน = 8
เหตุผลการให้คะแนน : การโทรศัพท์เจรจากันระหว่างผู้นำประเทศ เป็นวิธีการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการซึ่งได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไป ไม่ว่าฝ่ายที่โทรศัพท์ไปหาจะเป็นฝ่ายใด หากการเจรจามีความเหมาะสมโดยไม่ทำให้เสื่อมเสียเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ก็เป็นเรื่องที่ทำกันแพร่หลาย จึงเป็นคำชี้แจงที่รับฟังได้ แต่ส่งผลต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้พ้นตำแหน่งไม่มาก
ประเด็นที่ 6 ผู้ร้องกล่าวหาว่า ไม่รักชาติ เนื่องจากไม่ค่อยมีความเคลื่อนไหวใด ๆ จนบุคคลสำคัญและประชาชนคนไทยต้องออกมาเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายกรัฐมนตรีให้ปฏิบัติหน้าที่โดยด่วนและเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรักชาติ
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทย ซึ่งได้เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ว่าจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ มีความตั้งใจทำงานตามบทบาทหน้าที่ของตนอย่างเต็มความสามารถเพื่อปกป้องซึ่งผลประโยชน์ ของประเทศและประชาชนชาวไทย ดังจะเห็นได้จากการออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริง แนวทาง หรือตอบโต้การกระทำต่าง ๆ ตามความเหมาะสมแก่สถานการณ์
คะแนนแบบเข้มงวด = 4
คะแนนแบบผ่อนปรน = 6
เหตุผลการให้คะแนน : ความเสียหายตามแนวชายแดนอาจจะลดลงกว่าที่เกิดขึ้นจริง หากรัฐบาลดำเนินการอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับคำชี้แจงที่อ้างถึงการถวายสัตย์ปฏิญาณ หรืออ้างถึงความตั้งใจซึ่งเป็นนามธรรมเท่านั้น เป็นคำชี้แจงที่ยังขาดความชัดเจนที่แสดงถึงความรวดเร็วในการปฏิบัติหน้าที่
ประเด็นที่ 7 ผู้ร้องกล่าวหาว่า คุกคามสื่อมวลชน โดยมีความโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ พูดจาประชดสื่อมวลชน และเมื่อจบการแถลงข่าวได้เดินบุกไปยังพื้นทีที่สื่อมวลชนยืนอยู่ ถามหาสื่อมวลชนผู้ที่ตั้งคำถาม อันเป็นการคุกคามสื่อมวลชนอย่างที่นายกรัฐมนตรีไม่พึงปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ภายหลังจบการแถลงข่าวดังกล่าว ได้เดินผ่านกลุ่มสื่อมวลชนจึงสอบถามด้วยอัธยาศัยไมตรีว่า “เค้าโกรธอะไรเหรอ ตะกี้” ซึ่งกลุ่มสื่อมวลชนในขณะนั้น ได้ตอบกลับมาว่า “ไม่ได้โกรธ” “เป็นคาแรคเตอร์” และ “ไม่มีใครโกรธนายกเลยครับ” แล้วยังได้พูดจาหัวเราะกันตามประสาบุคคลที่พบปะ กันบ่อยครั้งและมีความสัมพันธ์อันดี ขอยืนยันว่าในการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมาไม่เคยมีเจตนาคุกคามสื่อมวลชนแต่ประการใด การกล่าวอ้างของผู้ร้องจึงเป็นความอคติส่วนตน
คะแนนแบบเข้มงวด = 5
คะแนนแบบผ่อนปรน = 6
เหตุผลการให้คะแนน : การชี้แจงโดยยกคำพูดของทั้งสองฝ่ายขึ้นมากล่าวอ้าง ทำให้คำชี้แจงมีความน่าเชื่อถือ แต่เมื่อชี้แจงในลักษณะโต้ตอบผู้ร้องว่ามีอคติส่วนตน ทำให้คำชี้แจงลดความน่าเชื่อถือลง แต่ทั้งคำร้องและคำชี้แจงไม่ส่งผลต่อการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นหลัก

ประเด็นที่ 8 เรื่องที่นางสาวแพทองธารยกขึ้นทำลายน้ำหนักคำร้องว่า ข้อความตามคลิปเสียงที่อ้างเป็นพยานหลักฐานยังไม่ได้ผ่านการแปลหรือรับรองความถูกต้องโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ข้อความที่นำมาอ้างเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้เป็นบทสนทนาในภาษาต่างประเทศ และจนถึงปัจจุบันยังไม่ได้มีการแปลโดยผู้มีอำนาจหรือผ่านการรับรองความถูกต้องโดยหน่วยงานของรัฐที่น่าเชื่อถือ การนำข้อความในภาษาต่างประเทศมาใช้ในกระบวนการพิจารณาของศาลนี้ โดยเฉพาะในคดีที่กระทบต่อสถานะของนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล จึงจำต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบอย่างรอบคอบเพื่อให้สามารถรับฟังได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิจารณามีคำสั่งให้แปลข้อความดังกล่าวโดยล่ามที่ขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการและให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งไทยและกัมพูชารับรองความถูกต้องของถ้อยคำและบริบทของบทสนทนาดังกล่าวก่อนนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดี
คะแนนแบบเข้มงวด = 2
คะแนนแบบผ่อนปรน = 6
เหตุผลการให้คะแนน : ข้อกล่าวหาตามคำร้อง เป็นการอ้างคำพูดของนางสาวแพทองธารที่พูดเป็นภาษาไทยเท่านั้น ส่วนคำพูดของคู่กรณีที่เป็นภาษากัมพูชาและล่ามได้แปลเป็นภาษาไทย ไม่ได้ถูกนำมากล่าวอ้างในคำร้อง จึงไม่จำเป็นต้องใช้ล่ามอย่างเป็นทางการ แต่การเข้าใจถึงการสนทนาของทั้ง 2 ฝ่าย อย่างถูกต้องครบถ้วนก็เป็นประโยชน์ในพิจารณาอยู่บ้าง เป็นคำชี้แจงที่มีประโยชน์ต่อนางสาวแพทองธารไม่มาก
ประเด็นที่ 9 เรื่องที่นางสาวแพทองธารยกขึ้นทำลายน้ำหนักคำร้องว่า พยานหลักฐานที่นำเสนอ ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำชี้แจงสรุปได้ว่า พยานหลักฐานที่นำเสนอในคำร้องของผู้ร้องเป็นบทสนทนาที่ได้มาจากการบันทึกเสียงหรือการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยปราศจากความยินยอมจากคู่สนทนา ซึ่งเป็นการได้มาซึ่งข้อมูลโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและหลักนิติธรรม ทั้งอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14 (2) ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร โดยกรณีนี้ได้มีการนำข้อมูลบทสนทนาดังกล่าวไปเผยแพร่ในลักษณะอันอาจทำให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน และอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยไม่เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งได้มีการร้องทุกข์กล่าวโทษไว้แล้วต่อพนักงานสอบสวน และคดีอยู่ระหว่างกระบวนการสืบสวนสอบสวน
คะแนนแบบเข้มงวด = 2
คะแนนแบบผ่อนปรน = 6
เหตุผลการให้คะแนน : พรป.ว่าด้วยการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 27 บัญญัติให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงศาลรัฐธรรมนูญรับฟังพยานหลักฐานได้ทุกประเภท คำชี้แจงนี้มุ่งจะทำลายน้ำหนักพยาน แต่เป็นประโยชน์ต่อนางสาวแพทองธารได้เพียงเล็กน้อย
ประเด็นที่ 10 เรื่องที่นางสาวแพทองธารยกขึ้นทำลายน้ำหนักคำร้องว่า การใช้สิทธิยื่นคำร้องของ สว.เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพียงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ทั้งที่ทราบหรือควรจะทราบดีว่าการตรวจสอบการกระทำที่เป็นนโยบายระหว่างประเทศ ควรถูกตรวจสอบโดยกลไกปกติของรัฐสภา
คำชี้แจงสรุปได้ว่า ผู้ร้องซึ่งส่วนใหญ่เป็น สว.ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบของ กกต.ในส่วนของการเลือก สว. และกรมสอบสวนคดีพิเศษในส่วนของคดีอาญา อันเกี่ยวกับการเลือก สว. โดย สว.กลุ่มดังกล่าวได้ถูกคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต.แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว โดยที่ผ่านมามีข้อกังขาแก่สังคมในวงกว้าง ถึงการทำหน้าที่และการใช้สิทธิลงมติต่าง ๆ ของ สว.กลุ่มดังกล่าว ว่าอาจถูกครอบงำทางการเมือง หรือถูกชี้นำโดยพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใดหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2568 เมื่อมีพรรคการเมืองหนึ่งประกาศถอนตัวจากรัฐบาลอย่างเป็นทางการ สว.กลุ่มดังกล่าวก็ได้เสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภาในทันที
คะแนนแบบเข้มงวด = 2
คะแนนแบบผ่อนปรน = 4
เหตุผลการให้คะแนน : สว.ที่ยื่นคำร้องแม้จะถูกคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนของ กกต.แจ้งข้อกล่าวหาแล้ว แต่กระบวนการสืบสวนยังไม่ถึงขั้นตอนที่เสนอไปยังศาล และศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หรือมีคำพิพากษาให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลง อีกทั้งรัฐบาลของนางสาวแพทองธารก็ได้ใช้สถานะของ สว.ในวุฒิสภาเพื่อพิจารณาผ่านร่างกฎหมายต่าง ๆ มาโดยตลอด คำชี้แจงประเด็นนี้จึงทำลายน้ำหนักคำร้องได้เพียงเล็กน้อย
ประเด็นที่ 11 เรื่องที่นางสาวแพทองธาร ยกขึ้นโต้แย้งอำนาจพิจารณาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
คำชี้แจงสรุปได้ว่า การกระทำทางรัฐบาล (Act of Government) หรือ การใช้ดุลยพินิจทางการเมือง (Political Question) เป็นเรื่องที่ควรได้รับการตรวจสอบจากกลไกทางการเมืองเท่านั้น ซึ่งในประเทศไทยก็ปรากฏว่ามีแนวคิดดังกล่าวอยู่ในระบบกฎหมายไทยมาช้านาน สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเองเคยมีรายงานการศึกษาเรื่อง การกระทำทางรัฐบาลกรณีศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทย สาธารณรัฐฝรั่งเศส สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ซึ่งเห็นถึงแนวทางของศาลในต่างประเทศได้จำกัดอำนาจของตนเองไม่ให้เข้าไปวินิจฉัยการใช้ดุลยพินิจทางการเมือง โดยปล่อยให้กลไกทางการเมืองทำหน้าที่ตรวจสอบกันเอง โดยเฉพาะในระบบรัฐสภาที่มีกลไกการตรวจสอบทางการเมืองอยู่แล้ว
คะแนนแบบเข้มงวด = 0
คะแนนแบบผ่อนปรน = 1
เหตุผลการให้คะแนน : รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี โดยไม่อาจที่จะไม่รับคำร้องไว้พิจารณาได้เมื่อได้เสนอเรื่องผ่านช่องทางที่ถูกต้องตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ผลการประเมิน จาก 11 ประเด็น สรุปได้ดังนี้
ประเมินแบบเข้มงวด
- ประเด็นที่ได้คะแนนต่ำกว่าครึ่ง (ต่ำกว่า 5 คะแนน) จำนวน 7 ประเด็น
- ประเด็นที่ได้คะแนนตั้งแต่ครึ่งขี้นไป (5 คะแนน ขึ้นไป) จำนวน 4 ประเด็น
- ได้คะแนนรวม 29 จาก 110 คะแนน หรือ 26.36 % (สอบตก)
ประเมินแบบผ่อนปรน
- ประเด็นที่ได้คะแนนต่ำกว่าครึ่ง (ต่ำกว่า 5 คะแนน)) จำนวน 4 ประเด็น
- ประเด็นที่ได้คะแนนตั้งแต่ครึ่งขี้นไป (5 คะแนน ขึ้นไป) จำนวน 7 ประเด็น
- คะแนนรวม 57 จาก 110 คะแนน หรือ 51.82 % (สอบผ่าน)
การให้คะแนนแบบเข้มงวด จะเห็นได้ว่าการประเมินภาพรวมของคำชี้แจงจะได้ 26.36 % และการประเมินรายประเด็น ได้คะแนนตั้งแต่ 5 คะแนนขึ้นไป 4 ประเด็น และต่ำกว่า 5 คะแนนลงมา 7 ประเด็น ถือว่าการประเมินแบบเข้มงวด สอบตกทั้งหมด
ส่วนการให้คะแนนแบบผ่อนปรน ภาพรวมจะได้ 51.82 % ส่วนรายประเด็นได้คะแนนตั้ง 5 คะแนนขึ้นไป 7 ประเด็น และต่ำกว่า 5 คะแนนลงมา 4 ประเด็น ถือว่าสอบผ่าน
แต่มี 2 ประเด็นสำคัญ ที่การให้คะแนนแบบเข้มงวด ติดลบ 2 คะแนน และแบบผ่อนปรน ได้คะแนนน้อยมากเพียง 2 คะแนน คือประเด็นที่ 3 ที่กล่าวว่า อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยเดี๋ยวจะจัดการให้ และประเด็นที่ 4 ที่กล่าวว่า แม่ทัพภาคที่ 2 อยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ควรกล่าวถึงความแตกแยกภายในประเทศต่อผู้นำต่างประเทศที่เป็นคู่กรณี ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลังประชาชน ที่อาจเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม
แม้มีเพียงประเด็นใดประเด็นหนึ่งที่แสดงถึงการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ก็เพียงพอที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้แล้ว
- เบื้องหลัง! เรียก'แพทองธาร-เลขา สมช.'ไต่สวนคดี‘ฮุนเซน’ให้สิทธิโต้แย้ง-ก่อนชี้ชะตา29 ส.ค.
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' ยันไม่ฝ่าฝืนจริยธรรมคดีฮุนเซน ยื่นพยาน 5 ปาก ได้แค่ เลขาฯ สมช.
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' (2) อ้าง ’ฮุนเซน’ ไม่พอใจ เลยต้องบอก ‘มทภ.2’ เป็นฝั่งตรงข้าม
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร' (3) อ้าง 'ฮวด' โทรหาก่อน ตัดสินใจคุย 'ฮุน เซน' แม้อยู่เพียงลำพัง
- เปิดคำชี้แจง 'แพทองธาร'(4) ยก 8 ประเด็นสู้ อ้าง'สว.'ใช้สิทธิ์ไม่สุจริต-พรรคการเมืองครอบงำ
- เปิดคำชี้แจง'แพทองธาร'(จบ) ตระหนัก-ยึดถือจริยธรรมขรก.การเมือง วิงวอนขอทำหน้าที่นายกฯต่อ
- ฉบับเต็ม! คำชี้แจง 'แพทองธาร' ยื่นศาล รธน.คดีคลิปเสียงฮุน เซน ก่อนชี้ชะตา 29 ส.ค.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา