
“...อำนาจต่อรองของไทยคือ 1.ความทดแทนกันได้ของสินค้า ถ้าสินค้าเรา Niche มากกว่า สินค้าหลายอย่างที่เรา Nich เช่น PCB (แผงวงจรพิมพ์) แต่สินค้าที่ทดแทนได้ง่าย ก็ต้องลดต้นทุนหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อให้ต้นทุนถูกลง 19% เป็นทั้งข่าวดี เขายังคุยกับเรา ไม่หนีเราไป ส่วนข่าวร้ายคือ เป็นภาระผู้ประกอบการ...”
หมายเหตุสำนักข่าวอิศรา : นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์พิเศษสำนักข่าวอิศรา โดยให้ทัศนะเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก
Q: ความท้าทายในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่กำกับดูแลหน่วยงานที่มีบทบาทการค้าระหว่างประเทศ (กรมการค้าต่างประเทศ, กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ, สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) และสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ITD ) ซึ่งจากประวัติส่วนตัวทำงานในตำแหน่งการเศรษฐกรอาวุโส ฝ่ายนโยบายการเงินและวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาโดยตลอด
ฉันทวิชญ์: สิ่งที่เอามาใช้ได้จากประสบการณ์ที่ทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คือความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นระดับมหภาค เป็นภาพใหญ่ ส่วนความแตกต่างเมื่อมาทำงานที่กระทรวงพาณิชย์คือ กระทรวงจะเป็นหนึ่งในเครื่องมือกลไกการตลาดที่ทำให้สภาพเศรษฐกิจประเทศเติบโตตามที่ฝ่ายการเงินการคลังวางนโยบายไว้ ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ตัวเลขจีดีพีสูงขึ้น ผู้ประกอบการไทยทำมาหากินได้ดีขึ้น ราคาสินค้าเกษตรไม่ตกต่ำ เป็นต้น
สำหรับงานที่ได้รับมอบหมายมี 3 ด้าน 1.การสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผู้ประกอบการไทยในตลาดต่างประเทศ สมมติคุณขายสินค้าได้ 100 บาท หน้าที่ของผมคือการทำให้เกิด Value Added (สร้างมูลค่าเพิ่ม) โดยการออกไปเจรจากับประเทศคู่ค้าที่มีคุณภาพ เช่น สหภาพยุโรป (EU) และเกาหลีใต้ ซึ่งผมก็รับผิดชอบกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศพอดี 2.เกี่ยวกฎเกณฑ์อย่างเช่นประเทศสหรัฐอเมริกา จะเห็นได้ว่าช่วงนี้มีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับถิ่นกำเนิดมากขึ้น คนไทยที่ส่งออกสินค้าไปที่นั่นจะต้องมีการตรวจสอบว่า ทำในไทยกี่เปอร์เซ็น ทำที่อเมริกากี่เปอร์เซ็น ส่งไปแปรรูปที่อื่นอีกกี่เปอร์เซ็น ซึ่งกฎเกณฑ์แบบนี้ไม่เคยมีมากก่อน และผู้ส่งออกจะต้องชี้แจงให้ได้ โดยจุดนี้ก็จะเข้าไปช่วยปรับตัวให้เข้ากับกฎใหม่อย่างไร และ 3. โลกการค้าเปลี่ยน แต่คนไทยยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้ขายได้ ก็ต้องร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆในการดูถึงกลยุทธ์และวิสัยทัศน์ของประเทศต่อจากนี้ว่า ควรวางบทบาทไทยในเวทีโลกอย่างไร จุดแข็งจุดอ่อนคืออะไร ไทยทำอะไรได้บ้าง
Q: ทำไมต้อง EU กับเกาหลีใต้
ฉันทวิชญ์: EU เราส่งออกสินค้าประเภทไฮเทคและหัตถกรรมไปเยอะ สร้างมูลค่าเพิ่มเยอะและ EU ก็สนใจจะลงทุนในไทย เช่น BCG อุตสาหกรรมสีเขียว ถ้าเราได้ตลาดนี้มากขึ้นเท่าไหร่ 100 บาทที่ส่งออกไปก็สร้างงานสร้างรายได้ให้คนไทยมากกว่าประเทศอื่น
Q: FTA กับ EU พูดกันมานาน ที่ผ่านมาติดปัญหาอะไร
ฉันทวิชญ์: EU ต้องการค้าขายกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยเพิ่งจะมาเจรจาเข้มข้นในปีที่ผ่านมา ตอนนี้มี 22 บทเจรจาที่ต้องทำ ทำไปแล้ว 7 บท และในเดือนก.ย.นี้ จะมีการเจรจาอีก ก็จะเร่งเต็มที่ ส่วนสินค้าที่อ่อนไหวของเราและเขาคืออะไร บอกไม่ได้ เพราะอยู่ในขั้นตอนการเจรจา และในวันที่ 21 ส.ค.นี้ จะเชิญชวนภาครัฐและประชาสังคมมาคุยกันก่อน เพื่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหมด แต่ถ้ารู้จุดร่วมจุดต่างก็จะดีกว่า เพื่อจะได้เจรจาง่ายขึ้น และไม่ใช่เราจะยอมทั้งหมด มันต้องเอาเงื่อนไข ข้อเสนอต่างๆมาคุยกัน ดังนั้น ปี 2568 จึงไม่ใช่เป้าหมาย แต่ขอให้มีความคืบหน้าที่สุด
Q: ผู้ประกอบการที่ใช้สินค้าจีนเยอะ จะเข้าไปช่วยอย่างไร
ฉันทวิชญ์: เราไม่อยากให้ผู้ประกอบการเลิกรับผลผลิตจากจีน เราบอกว่า ถ้าส่งออกไปอเมริกาจะมีผลออกมาแบบนี้นะ ของจีนถูกกว่า ผู้ประกอบการเป็นคนตัดสินใจ หลักการของผมคือ ภาครัฐจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการเลือกของผู้ประกอบการ หากยังยืนยันว่าจะต้องเข้าไปที่สหรัฐฯ ตอนนี้ก็ทราบว่ากระทรวงการคลังเตรียมมาตรการสำหรับช่วยเหลืออยู่ เช่น สินเชื่อ หรือการให้คำปรึกษาแบบเจาะจงมากขึ้น แต่จะไม่ไปกำหนดอะไร ผู้ประกอบการควรเป็นผู้กำหนดเอง
Q: นอกจากเรื่องที่ใช้ของจีนเยอะแล้ว ปัจจุบันผู้ประกอบการ SMEs ก็เจอปัญหาสินค้าจีนไหลเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก แถมด้วยแอปพลิเคชั่นช้อปปิ้งก็ล้วนเป็นแบรนด์จีนหมด รัฐมนตรีจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไร
ฉันทวิชญ์: ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาก จีนมีจุดแข็งในการผลิตจนได้รับฉายาว่าเป็น โรงงานโลก ไปแล้วด้วยซ้ำ จีนผลิตเยอะ แรงงานเยอะ ผลผลิตที่ออกมาก็ดี แถมราคาก็ถูกกว่า คงไปห้ามได้ยาก แต่จุดที่ช่วยเหลือได้มี 2 จุด 1.สินค้าที่เข้ามามีการตรวจสอบมาตรฐานไม่เท่ากัน จุดนี้ก็จะเข้าไปช่วยว่าสินค้าจีนจะต้องใช้มาตรฐานในการตรวจสอบเดียวกันกับสินค้าไทย ไม่ใช่ต้องมีอีกมาตรฐานหนึ่ง ก็กำลังหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมว่า ทำอย่างไรให้สินค้าที่จีนขาย ไทยขายมีมาตรฐานเดียวกัน จะได้ทำให้ผู้บริโภคได้รับการเข้าถึงสินค้าที่มีมาตรฐาน และ 2. ถ้าผู้ประกอบการรู้สึกว่าสินค้าจีนดัมพ์ราคาลงมาผิดปกติ ผู้ประกอบการก็ร้องเรียนเข้ามาได้ โดยกรมการค้าต่างประเทศจะเป็นผู้พิจารณา
Q: มีนโยบายจะปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศจีนเหมือนอินโดนีเซียหรือไม่
ฉันทวิชญ์: เรื่องนี้ละเอียดอ่อน แต่ว่าในกลไกของกรมการค้าระหว่างประเทศมีช่องทางให้ผู้ประกอบการร้องเรียน และก็เริ่มพิจารณาเคสต่างๆได้ ต้องดูความเหมาะสมก่อน เราทำอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ต้องรอผู้ประกอบการขอเข้ามา

Q: การที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้า ทำให้บริบทการค้าโลกเข้าสู่การค้าเสรีลดลงหรือไม่
ฉันทวิชญ์: ผมมองว่าอเมริกาทำได้ เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจสูงมาก แค่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยใช้เลย 50-60 ปีที่ผ่านมาทั่วโลกให้ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้คุมกฎเกณฑ์การค้าเสรีใหม่ พยายามไม่ให้มีการขึ้นภาษีระหว่างประเทศ สร้างสถานการณ์ให้คนค้าขายมากขึ้น แต่พอโดนัลด์ทรัมป์เข้ามาก็เปลี่ยนกฎใหม่ ขอให้ทุกประเทศต้องยอมรับ ซึ่งไทยเราคงไม่ได้ใช้กฎเกณฎ์แบบเดียวกันกับคู่ค้าอื่น เพราะหลังจากที่สหรัฐฯมีท่าทีแบบนี้ ประเทศอื่นๆกลับต้องการค้าขายเสรีมากขึ้น เพราะต้องการเปิดตลาดใหม่ๆ เช่น EU และเกาหลีใต้ที่มีมุมมองคล้ายๆกันว่า ยิ่งทรัมป์มีกำแพงภาษีมากเท่าไหร่ โลกที่เหลือก็ต้องพึ่งพาการค้าเสรีมากขึ้นเท่านั้น
“สมมติอเมริกาคิดภาษีนำเข้ากับเรา แล้วเราเอาแนวคิดนี้ไปใช้กับประเทศอื่น มันก็ไม่มีใครได้ประโยชน์นะ ของก็แพงขึ้น ดีมานด์ก็ลดลงโดยใช่เหตุ แต่ที่อเมริกาทำก็เพื่อต้องการให้ประเทศอื่นเปิดตลาดของตัวเอง โดยใช้อำนาจทางเศรษฐกิจของตัวเอง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ของประเทศเขา แต่ไทยเราไม่จำเป็นต้องทำ การเจรจา FTA ทำต่อไปได้”
Q: ภาษีทรัมป์ 19% ที่ไทยได้ ทำให้ทำงานยากขึ้นไหม ทั้งผลกระทบกับประเทศและการแข่งขันกับประเทศอาเซียน
ฉันทวิชญ์: มี 2 ด้าน 1. การได้อัตราภาษีที่ 19% มันยากขึ้นอยู่แล้ว เพราะเดิมอเมริกาไม่ได้คิดอัตราภาษี แต่เมื่อมีการคิดภาษีแล้ว ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นทันที ผู้ส่งออกกับผู้นำเข้าจึงต้องคุยกันว่า 19% ที่เพิ่มมา ใครต้องจ่าย ก็อยู่ที่การเจรจา ถ้าเป็นสินค้าที่เฉพาะกลุ่มมากๆก็อาจจะคุยกันง่ายขึ้น แต่ถ้าเป็นสินค้าที่ขายกันเยอะ มีสินค้าทดแทนก็อาจจะยาก และ 2.การได้ 19% เป็นข่าวดี ทำให้เรายังแข่งขันได้ ถ้าเราได้อัตราเดิมคือ 36% ก็ไม่ต้องถามแล้ว เผลอๆก็ไม่ซื้อเราเลย เพราะประเทศอื่นดีกว่า การถูกกำหนด 19% ทำให้ไทยเรายังมีความสามารถในการแข่งขัน
“อำนาจต่อรองของไทยคือ 1.ความทดแทนกันได้ของสินค้า ถ้าสินค้าเรา Niche มากกว่า สินค้าหลายอย่างที่เรา Nich เช่น PCB (แผงวงจรพิมพ์) ก็จะทำให้การค้าขายอะไรง่ายขึ้น แต่สินค้าที่ทดแทนได้ง่าย ก็ต้องลดต้นทุนหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เพื่อให้ต้นทุนถูกลง 19% เป็นทั้งข่าวดี เขายังคุยกับเราไม่หนีเราไป ส่วนข่าวร้ายคือเป็นภาระผู้ประกอบการ”
Q: นอกจากประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว อีกกลุ่มประเทศที่มีบทบาทสำคัญคือ กลุ่มความร่วมมืออ่าวเบงกอล 7 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ ภูฏาน อินเดีย พม่า เนปาล ศรีลังกา หรือแม้แต่จีนและรัสเซีย ไทยจะบาลานซ์อย่างไร
ฉันทวิชญ์: จุดยืนของไทยคือ อยากค้าขายกับทุกประเทศ ไม่ได้มีนโยบายที่จะไม่ค้าขายกับใคร แต่ในการตัดสินใจ จังหวะสำคัญ ทำอย่างไรให้ผู้ประกอบการได้ประโยชน์มากที่สุด ก็ต้องดูจังหวะทางภูมิรัฐศาสตร์และสถานการณ์ให้ดี


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา