
"....คำพูดของประธานวิปรัฐบาล อาจจะดูเหมือนว่าเป็นเพียงการพูดให้ฟังดูสนุกสนานมีรสชาติ ที่นิยมพูดกันของนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา แต่คำพูดดังกล่าวมาจากปากของผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งควรมีความระมัดระวังไม่ให้แสดงถึงเจตนาที่จะขัดขวางประชาชนให้หยุดการใช้สิทธิหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือเสนอเรื่องราวต่อหน่วยงานของรัฐ ตามที่รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยให้การรับรองไว้..."
กรณีนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลในสภาผู้แทนราษฎร (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนกรณีนายทักษิณ ชินวัตร เข้ามามีบทบาททางการเมือง และร่วมประชุมกับทีมงานของรัฐบาลที่บ้านพิษณุโลก อาจจะทำให้ถูกร้องว่าครอบงำพรรคเพื่อไทยว่า
“จะพูดหรือทำอะไรก็ฟ้องหมด....พวกอีลูกช่างฟ้องต้องหมดไปได้แล้ว น่าเบื่อ น่ารำคาญ”
การใช้คำพูดเพื่อแสดงความเห็นต่อสาธารณะในฐานะที่เป็น สส.และมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญในสภาผู้แทนราษฎร นอกจากเป็นคำพูดที่ไม่สุภาพแล้ว เนื้อหาที่พูดออกมายังแสดงถึงเจตนาที่จะละเมิดสิทธิของประชาชนที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้ และขัดต่อ พรป.ป้องกันและปราลปรามการทุจริตแห่งชาติที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแจ้งข้อมูล เบาะแส หรือ พยานหลักฐานการกระทำความผิด และยังอาจแสดงว่าผู้พูดมีพฤติกรรมฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมของนักการเมือง ซึ่งจะต้องปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และต้องธำรงไว้ซึ่งการปกครองตามรัฐธรรมนูญที่จะต้องเคารพสิทธิของผู้ที่มีความเห็นแตกต่าง
คำพูดของประธานวิปรัฐบาล อาจจะดูเหมือนว่าเป็นเพียงการพูดให้ฟังดูสนุกสนานมีรสชาติ ที่นิยมพูดกันของนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา แต่คำพูดดังกล่าวมาจากปากของผู้มีตำแหน่งหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งควรมีความระมัดระวังไม่ให้แสดงถึงเจตนาที่จะขัดขวางประชาชนให้หยุดการใช้สิทธิหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือเสนอเรื่องราวต่อหน่วยงานของรัฐ ตามที่รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยให้การรับรองไว้
คำว่า “ลูกอีช่างฟ้อง” คนทั่ว ๆ ฟังแล้วจะรู้สึกว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาเช่นนี้ เป็นบุตรของ “อี” ซึ่งหมายถึงมารดาที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจชอบที่จะนำเอาเรื่องราวของคนอื่น ทั้งที่จริงบ้างไม่จริงบ้างไปร้องเรียนต่อผู้ที่มีอำนาจอยู่เป็นประจำ จึงเป็นคำพูดที่มีลักษณะส่อเสียดหรือด่าทอ ไม่เพียงเฉพาะต่อประชาชนที่แสดงความคิดเห็นหรือเสนอเรื่องราวต่อหน่วยงานของรัฐเท่านั้น แต่ยังได้ด่าทอไปถึงบุพการีฝ่ายมารดาของประชาชนคนนั้นด้วย
ส่วนคำว่า “ต้องหมดได้แล้ว น่าเบื่อ น่ารำคาญ” แสดงว่าผู้พูดมีเจตนาจะให้มีการแก้ไขเพื่อยกเลิกมาตราสำคัญในรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ได้แก่ มาตรา 4 มาตรา 25 มาตรา 27 มาตรา 34 และมาตรา 41 ที่ให้การรับรองต่อสิทธิหรือเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ทั้งในเรื่องสิทธิหรือเสรีภาพโดยทั่วไป เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และสิทธิในการเสนอเรื่องราวต่อหน่วยงานของรัฐ นอกจากนี้ยังแสดงถึงเจตนาจะให้ยกเลิกบางมาตราในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่ได้บัญญัติให้ประชาชนแจ้งข้อมูลหรือเบาะแสได้โดยได้รับความคุ้มครอง เพื่อให้ความปรากฏต่อองค์กรที่มีหน้าที่เพื่อจะดำเนินการต่อไป เช่น พรป.ปปช. มาตรา 33 บัญญัติให้มีการส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต โดยให้มีช่องทางการแจ้งข้อมูล เบาะแส หรือพยานหลักฐาน ที่ง่าย สะดวก ไม่มีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และไม่ก่อผลร้ายกับผู้แจ้ง หรือ พรป.กกต.มาตรา 41 บัญญัติว่า เมื่อมีความปรากฏต่อ กกต.ไม่ว่าจะมีผู้แจ้งหรือผู้กล่าวหาหรือไม่ ให้ กกต.มีหน้าที่สืบสวนหรือไต่สวน เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐานโดยพลัน พรป.กสม.มาตรา 34 บัญญัติว่า บุคคลใดพบเห็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนย่อมมีสิทธิแจ้งหรือร้องเรียนต่อ กสม.ได้ ส่วนองค์กรอิสระอื่นก็มีช่องทางให้ประชาชนแจ้งข้อมูลหรือร้องเรียนเช่นกัน
เมื่อรวมกันแล้ว คำว่า “พวกอีลูกช่างฟ้องต้องหมดไปได้แล้ว น่าเบื่อ น่ารำคาญ” จึงหมายความว่า ผู้พูดเห็นว่าควรจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เพื่อกำจัดประชาชนกลุ่มหนึ่งให้หมดไปจากสังคม คือประชาชนกลุ่มที่มีมารดาเป็นผู้มีพฤติกรรมให้ความสนใจต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองด้วยการเสนอเรื่องราวต่อหน่วยงานของรัฐ เพื่อไม่ให้ประชาชนกลุ่มนี้รบกวนหรือละเมิดสิทธิของผู้พูดและพรรคการเมืองที่ผู้พูดสังกัดให้เกิดความเบื่อและรำคาญ

@ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ (https://www.ptp.or.th/archives/people)
เรื่องนี้ กสม.จึงควรตรวจสอบคำให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ของผู้แทนประชาชนที่มีหน้าที่สำคัญในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคำให้สัมภาษณ์ได้กระจายออกไปยังประชาชนทั่วทั้งประเทศ จะทำให้เป็นการระงับยับยั้งการใช้สิทธิของประชาชนในการมีส่วนร่วมในทางการเมือง ด้วยการใช้สิทธิเสนอเรื่องราวต่อหน่วยงานของรัฐ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือไม่
และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ควรตรวจสอบคำให้สัมภาษณ์นี้ว่า เป็นพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ข้อ 13 ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน หรือข้อ 5 ต้องธำรงไว้ซึ่งการปกครองตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้ให้การรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในเรื่องนี้ จึงเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมข้อที่มีความร้ายแรง หรือไม่
เรื่องนี้อาจดูเหมือนว่าเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเมื่อพูดแล้วก็จบกันไป แต่ก็อาจจะไม่จบและอาจจะเป็นเหมือนกับกรณีคลิปเสียงสนทนาของนายกรัฐมนตรีกับผู้นำกัมพูชาที่พูดไปแล้วไม่ได้จบง่าย ๆ แม้กรณีนี้ไม่ได้กระทบต่อความมั่นคงหรือศักดิ์ศรีของประเทศเช่นเดียวกับกรณีคลิปหลุด แต่เป็นคำพูดที่ส่อเสียดและด่าทอไปถึงบุพการีของประชาชนที่ต้องการมีส่วนร่วมทางการเมือง อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
หัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยต้นสังกัดของผู้พูด ได้ยินคำให้สัมภาษณ์นี้แล้วไม่ได้ออกมาแก้ไขหรือขอโทษประชาชน อาจจะเป็นการสมรู้ร่วมคิดเพื่อให้เกิดการพูดครั้งนี้ จึงอาจมีผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทยเพิ่มขึ้นอีกเรื่องหนึ่งก็ได้ !!

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา