
"...นิติสงคราม (lawfare) เป็นกลยุทธ์ทางกฎหมายที่ประเทศหนึ่งใช้เป็นอาวุธแก่ประเทศศัตรูเพื่อสร้างความอ่อนแอให้กับประเทศศัตรู ทำลายความน่าเชื่อถือและศีลธรรมของประเทศศัตรู ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองหรือการทหาร..."
ผู้เขียนเห็นว่าคนไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะบรรดาสื่อมวลชน ใช้คำว่า “นิติสงคราม” (lawfare) สับสนกับคำว่า “การตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ” (judicial review)
บทความนี้จึงขอแยกออกเป็น 4 หัวข้อ ดังนี้
1. ความแตกต่างระหว่างคำว่า “นิติสงคราม” กับคำว่า “การตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ”
“นิติสงคราม” (lawfare) เป็นกลยุทธ์ทางกฎหมายที่ประเทศหนึ่งใช้เป็นอาวุธแก่ประเทศศัตรูเพื่อสร้างความอ่อนแอให้กับประเทศศัตรู ทำลายความน่าเชื่อถือและศีลธรรมของประเทศศัตรู ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองหรือการทหาร
คำนี้มีที่มาจากสาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เนื่องจากเป็นการขยายการใช้ยุทธศาสตร์การเมืองและกฎหมายระหว่างประเทศออกไปจากการทำสงคราม (warfare) ตามจารีตประเพณีซึ่งต้องต่อสู้กันด้วยกำลังอาวุธ เปลี่ยนไปเป็นการต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น กัมพูชาฟ้องศาลโลกว่าดินแดนที่พิพาทกับไทยสี่แห่งเป็นของกัมพูชา และฝ่ายไทยเป็นฝ่ายรุกรานเข้าไปดินแดนกัมพูชา นั้น มีสถานะเป็น “นิติสงคราม”
ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ใต้ “นิติสงคราม” อย่างน้อยก็ในเวทีการสื่อสารทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศไทยต้องต่อสู้ด้วยวิธีการทางการทูตที่ชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพ
ส่วน “การใช้อำนาจตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ” (judicial review) เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายที่ศาลตรวจสอบการกระทำของ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและความรับผิดของรัฐบาล เพื่อตรวจสอบดูว่าฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลกระทำชอบด้วยกฎหมาย (legality) หรือชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (constitutionality) หรือไม่?
เป้าหมายก็เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารกระทำการโดยชอบด้วยกฎหมายและอยู่ภายใต้ขอบเขตจำกัดของรัฐธรรมนูญ
ยกตัวอย่างเช่น ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจตรวจสอบว่าฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือมีอำนาจวินิจฉัยว่าพรรคการเมืองกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือมีอำนาจวินิจฉัยว่ารัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีขาดคุณสมบัติของการดำรงตำแหน่งหรือไม่
การใช้อำนาจของตุลาการดังกล่าวมาจากหลักการแบ่งแยกอำนาจและการตรวจสอบและถ่วงดุลระหว่างฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ กับฝ่ายตุลาการ
หัวใจของความแตกต่างระหว่าง “นิติสงคราม” กับ “การตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ” จึงอยู่ที่ “ความชอบธรรม” (legitimacy)
“การตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ” เป็นการใช้อำนาจโดยชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วน “นิติสงคราม” เป็นการใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรมหรือใช้อำนาจที่มิชอบทางกฎหมาย (a misuse or abuse of the legal system) อีกนัยหนึ่งเป็นการใช้กระบวนการทางกฎหมายบิดเบือนเพื่อเป็นอาวุธเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของตัวเองบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
ในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ จึงเรียก “นิติสงคราม” ว่า เป็นการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการที่มิชอบด้วยกฎหมาย (abusive judicial review) บนเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
ดังนั้น การที่คนไทยเรียก “การตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ” โดยเฉพาะการใช้อำนาจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ (constitutional petition) ว่าเป็น “นิติสงคราม” จึงเป็นการเรียกที่ผิด เท่ากับเป็นการด้อยค่า (devalue) การตรวจสอบของฝ่ายตุลาการว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันมีผลเป็นการบั่นทอนความน่าเชื่อถือของกระบวนการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ
2. ที่มาของอำนาจการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ
พื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการมาจากหลักการห้ามกระทำการเกินขอบเขตอำนาจ (ultra vires doctrine) ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของกฎหมายมหาชน ทั้งกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายปกครอง ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรสาธารณะและเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการภายใต้ขอบเขตของกฎหมายที่ให้อำนาจไว้ การกระทำใดอยู่นอกขอบเขตอำนาจถือว่าเป็นการกระทำที่ปราศจากอำนาจมาตั้งแต่ต้น หรือมีค่าเท่ากับโมฆะ (void) ในทางแพ่ง
ส่วนหลักที่รองลงมา คือ การกระทำต้องยุติธรรมตามขั้นตอนและวิธีการทางกฎหมาย (procedural fairness) อีกทั้งต้องมีการจำกัดเป้าประสงค์ของการกระทำให้ชัดเจน (purpose limitation) ต่อมามีการขยายหลักออกไปอีกหลักหนึ่งว่า ฝ่ายบริหารต้องใช้อำนาจตามหลักการบริหารที่ดี (in accordance with good administration principle)
ในประเทศตะวันตก เช่น อังกฤษ ยังได้นำหลักสิทธิมนุษยชนเข้ามาใช้ในการตรวจสอบด้วย โดยเฉพาะหลักความได้สัดส่วน (the doctrine of proportionality) ที่จริงเป็นหลักที่มาจากกฎหมายจารีตประเพณีของอังกฤษ ซึ่งถือว่าศาลต้องตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารโดยคำนึงถึงความได้สัดส่วนของสิทธิด้วย หมายความว่าให้ศาลชั่งน้ำหนักระหว่างสิทธิของส่วนตัวของปัจเจกชนกับสิทธิของสาธารณะ
การใช้อำนาจตรวจสอบของตุลาการนี้ในระยะแรก ๆ ถูกโต้แย้งมากว่าคุกคามหลักการมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา (threats to parliamentary supremacy) แต่เมื่อได้ต่อสู้ถกเถียงกันจนตกผลึกแล้ว จึงเห็นว่าหากปล่อยสมาชิกฝ่ายนิติบัญญัติดำเนินการออกกฎหมายไปตามใจชอบและกระทำการอื่นใดที่ทำความเสียหายร้ายแรงแก่รัฐสภา โดยไม่มีการตรวจสอบ ก็ยิ่งเป็นการทำลายการมีอำนาจสูงสุดของตัวเองยิ่งกว่าการตรวจสอบของตุลาการ ข้อโต้แย้งนี้ในประเทศตะวันตกจึงเป็นอันยุติ
3. มาตรฐานการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการสำหรับการกระทำของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและความรับผิดของรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบของฝ่ายตุลาการต้องมีขีดจำกัด เพื่อเป็นการรักษาดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ
ขีดจำกัดของการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ ได้แก่ การกำหนดขอบเขตอำนาจการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการเอาไว้ให้ชัดเจน (judicial self-restraint) และบัญญัติให้ชัดเจนถึงบทบาทของฝ่ายตุลาการ (the judiciary’s role) ที่สัมพันธ์กับฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจกัน
ดังนั้น เมื่อฝ่ายตุลาการได้รับคำร้องหรือคำฟ้องขอให้ตรวจสอบการกระทำของฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายบริหาร สิ่งแรกที่ต้องตรวจสอบ คือ การยื่นคำร้องหรือคำฟ้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเป็นคำร้องหรือคำฟ้องที่อยู่ในเขตอำนาจของฝ่ายตุลาการนั้น ๆ หรือไม่
สำหรับมาตรฐานการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการสำหรับการกระทำของฝ่ายบริหารและความรับผิดของรัฐบาลมี 3 หลัก ได้แก่
(1) ความสุกงอม (ripeness) หมายถึง ความสุกงอมของการกระทำของฝ่ายบริหารที่ฝ่ายตุลาการต้องเข้าไปตรวจสอบ หลักข้อนี้เน้นไปที่การกระทำดังกล่าวมีผลกระทบที่ชัดเจนต่อผลประโยชน์เฉพาะหรือไม่ (it focuses on whether the action has definitively affected specific interests) หรือจำเป็นต้องมีกระบวนการพิจารณาของฝ่ายตุลาการต่อไปหรือไม่ (whether further proceeding are necessary)
กรณีของกฎหมายมหาชน ความสุกงอมแยกออกเป็น 3 ประเด็นย่อย ได้แก่ (1) การตรวจสอบการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (2) การโต้แย้งถึงเขตอำนาจศาล และ (3) การกระทำของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทบกระเทือนต่อสิทธิและสถานะของบุคคลและผลประโยชน์สาธารณะ โดยฝ่ายตุลาการต้องดูผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการกระทำเป็นหลักว่าได้เกิดขึ้นแล้วหรือไม่ และจำเป็นต้องเข้าไปแทรกแซงหรือไม่
(2) สิทธิการฟ้องร้องหรือสถานะทางกฎหมายของผู้ฟ้องร้อง (Standing) ตามหลักรัฐธรรมนูญ หมายถึง สิทธิในการฟ้องร้องหรือยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อให้ศาลพิจารณาคดี โดยผู้ที่จะมีสิทธิ์ยื่นคำร้องได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายหรือได้รับผลกระทบโดยตรงจากเรื่องที่ยื่นฟ้อง หรือเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนั้นๆ อย่างแท้จริง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้ฟ้องร้องต้องมีสถานะทางกฎหมาย (standing) ที่เพียงพอที่จะทำให้ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาได้
(3) การจบสิ้นขั้นตอนภายในของฝ่ายบริหารแล้ว (exhaustion) หลักข้อนี้หมายความว่าก่อนที่จะนำคดีมาฟ้องหรือร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองนั้น ฝ่ายบริหารได้แก้ไขเยียวยาแล้ว แต่ยังไม่เป็นผล หรือไม่ได้ดำเนินการแก้ไขเยียวยาใด ๆ จนพ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ไปแล้ว
4. กรณีของการกระทำที่เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีของไทย
กรณีที่คลิปเสียงโทรศัพท์ระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยกับนายฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา หลุดออกมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ อันเป็นกรณีที่น่าจะเข้าข่ายการกระทำความผิดหลายทาง โดยเฉพาะทางรัฐธรรมนูญ
เนื้อหาเป็นการขอให้นายฮุน เซน ช่วยเหลือติดต่อกับนายฮุน มาเนต ทำเป็นมาตกลงกันกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ว่าตกลงเปิดด่านด้วยกัน เพื่อช่วยสร้างภาพลักษณ์ว่านางสาว แพทองธาร ชินวัตร มีความสามารถใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวตกลงกับฝ่ายกัมพูชาเปิดด่านชายแดนกันได้ และนางสาวแพทองธาน ชินวัตร พูดว่าแม่ทัพภาค 2 เป็นฝ่ายตรงกันข้าม และนายฮุน เซน อยากได้อะไร ขอให้บอก จะจัดการให้ นั้น
ถือว่าเป็นการติดต่อต่างประเทศโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวซึ่งผิดแบบแผนของการทูต เพื่อให้กัมพูชาซึ่งเป็นประเทศศัตรูช่วยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ทำเหมือนเป็นมาตกลงกันได้ว่าเปิดด่าน ขณะที่อยู่ในช่วงเกิดข้อพิพาทดินแดนสี่แห่งและกัมพูชาได้นำไปฟ้องศาลโลก
จึงเป็นการกระทำที่น่าจะเข้าข่ายเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี เพราะแสดงว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร น่าจะไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ มุ่งหวังเฉพาะการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของตัวเองว่าสามารถใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวยุติปัญหาความขัดแย้งได้ แต่ข้อเท็จจริงกลับยิ่งทำให้ข้อขัดแย้งบานปลาย อีกทั้งยังแสดงออกถึงความอ่อนแอของผู้นำประเทศไทยต่อผู้นำของประเทศกัมพูชาที่อยู่ในสถานะเป็นศัตรูของประเทศไทย
ขณะเดียวกันยังมีการด้อยค่าแม่ทัพของประเทศไทยให้ฝ่ายศัตรูฟังว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม แม้จะอ้างว่าเป็นเทคนิคการเจรจา แต่ก็แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาเสแสร้ง ไว้ใจไม่ได้ และไม่น่าเชื่อถือ อีกทั้งไม่ได้มีการเจรจาใด ๆ ที่แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้หรือแสดงออกว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้ปกป้องข้อพิพาทดินแดนสี่แห่งที่เกิดขึ้น ทั้งที่เป็นหน้าที่โดยตรงของนายกรัฐมนตรีไทย หากเป็นนายกรัฐมนตรีคนอื่นหามีโอกาสเจรจาก็ต้องแสดงความไม่พอใจที่กัมพูชาอ้างดินแดนไทยเป็นของกัมพูชา และต้องหาทางแก้ไขด้วยวิธีการใด ๆ ที่ชอบด้วยกฎหมายตามหลักนิติธรรมและตามแบบพิธีการทางการทูต อันเป็นพฤติการณ์ที่แสดงถึงความไม่เหมาะสมและอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานของการเป็นนายกรัฐมนตรีตามวิสัยของปุถุชนทั่วไปที่ไม่สามารถยอมรับได้
เมื่อวุฒิสมาชิกเข้าชื่อกันตามเกณฑ์ของรัฐธรรมนูญยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญไทย2540 มาตรา 170 (4) คือ ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 160 คือ (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องพิจารณา (1) คำร้องของวุฒิสภา (2) ขอบเขตอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ และ (3) การแก้ไขภายในของฝ่ายบริหาร เมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า วุฒิสภามีสถานะตามกฎหมายและใช้สิทธิยื่นคำร้องโดยชอบด้วยกฎหมาย อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะรับเรื่องไว้พิจารณา และอาจเห็นว่าจำเป็นต้องมีกระบวนการพิจารณาต่อไป รวมทั้งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้แสดงความรับผิดในฐานะที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่กระทำการที่น่าจะเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีใด ๆ ในฝ่ายบริหาร เช่น การลาออก
ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องรับคำร้องไว้พิจารณา และต้องพิจารณาด้วยว่าสมควรที่จะให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนหรือไม่ ตามความในมาตรา 82 วรรคสองแห่งรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งบัญญัติว่า “เมื่อได้รับเรื่องไว้พิจารณา หากปรากฏเหตุอันควรสงสัยว่าสมาชิกผู้ถูกร้องมีกรณีตามที่ถูกร้อง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย” และถ้าวินิจฉัยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตรสิ้นสภาพความเป็นรัฐมนตรีลง ก็ให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตรพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่หยุดปฏิบัติหน้าที่
ดังนั้น กรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้เสนอขอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมด้วย นั้น
ปัญหามีว่าหากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร จะยังคงเป็นรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมและเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีได้หรือไม่
คำตอบก็คือ “ไม่ได้” เพราะข้อหาที่กล่าวหานางสาวแพทองธาร ชินวัตร นั้น เป็นข้อกล่าวหาว่า “รัฐมนตรี” กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 160 (4) คือ ไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ 160 (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตรกระทำผิด ก็เป็นความผิดในฐานะที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็น “รัฐมนตรี” ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็เป็นคำสั่งในฐานะที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็น “รัฐมนตรี”
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่ศาลรัฐธรรมนูญสงสัยว่า “รัฐมนตรี” จะกระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอันเป้นเหตุให้ขาดคุณสมบัติ สถานะความเป็น “รัฐมนตรี” ของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ก็เป็นอันสะดุดหยุดลง จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเป็นอย่างอื่น
ส่วนกรณีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นกรณีศาลวินิจฉัยความเป็น “นายกรัฐมนตรี” ตามมาตรา 158 วรรคสี่ ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรี” รวมกันแล้วเกินแปดปีหรือไม่ เมื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ควบตำแหน่ง “รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม” ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงสามารถใช้ความเป็น “รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม” ประชุมคณะรัฐมนตรีต่อไปได้ อันเป็นคนละกรณีกันกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร
การใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร จึงเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการ (judicial review) หากมีคำสั่งและคำวินิจฉัยอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาก็ย่อมมีความชอบธรรมตามกฎหมาย มิใช่ “นิติสงคราม” (lawfare) อย่างที่เข้าใจกันผิด ๆ แต่อย่างใด..
บทความโดย :
ทนายบ้านๆ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา