
"...สมเด็จพระสันตะปาปา เป็นพลังทางศีลธรรมระดับโลก ที่ไม่เพียงแพร่คำสอนของศาสนจักรเท่านั้น แต่หลายครั้งได้เข้าไปมีบทบาทสร้างสานสามัคคีธรรม เช่นกรณีสงครามกลางเมืองในซูดาน แต่ในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองที่ประเทศรวันดา ในปี 1994 ระหว่างชาวตุ๊ดชี่ กับชาวฮูตู ในช่วงเวลา 100 วัน มีผู้เสียชีวิตราว 800,000 คน เป็นโศกนาฏกรรมใหญ่ของโลก..."
“ไม่มีพื้นที่สำหรับการโฆษณาชวนเชื่อ
ทางศาสนาหรือการใช้อำนาจ
เพื่ออนาคตของคริสตจักร”

ณ จัตุรัส เซนต์ปีเตอร์ กรุงวาติกัน เมื่อ 18 พฤษภาคม 2568 ท่ามกลางคริสตศาสนิกชนจำนวนมากและผู้นำหลายประเทศที่ไปร่วมพิธี
สมเด็จพระสันตะปาปา เลโอที่ 14 เข้าสู่พิธีมิสซาสถาปนา (Papal Inauguration Mass) เพื่อดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ
ขณะประกอบพิธีอย่างยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงปราศรัยต่อประชาชน โดยเน้นย้ำความจำเป็นที่คริสตจักรจะยึดมั่นในประเพณี โดยไม่ปิดกั้นตนเอง
และทรงตรัสว่า “ไม่มีพื้นที่สำหรับการโฆษณาชวนเชื่อทางศาสนา หรือการใช้อำนาจเพื่ออนาคตของคริสตจักร”
นี่คือการประกาศยอมรับความเป็นจริงแห่งโลกยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนในโลก มีและใช้เสรีภาพที่จะเลือกเชื่อหรือไม่เชื่อ ศรัทธาหรือไม่ศรัทธา ศาสนาหรือความเชื่อใดๆ
สมเด็จพระสันตะปาปา เลโอที่ 14 พระนามเดิม โรเบิร์ต ฟรานซิส พรีวอสต์ (Robert Francis Prevost) เป็นคนอเมริกันจากชิคาโก ที่ปฏิเสธการเข้าศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ทั้งๆ ที่ได้รับโอกาสนั้นแล้ว แต่ทรงเลือกเดินเท้า 8 ชั่วโมง เพื่อไปช่วยเหลือหมู่บ้านยากจนที่สุดที่เปรู ในปี 2518
ทรงหลีกจากอนาคตที่จะมีรายได้มากมาย หลบจากความสะดวกสบายในเมืองใหญ่ ละจากการมีชื่อเสียง แต่เลือกไปกับกลุ่มมิชชันนารี ไปยังหมู่บ้านยากจน ที่ไม่มีน้ำสะอาด ไม่มีถนน ไม่มีระบบประปา ไม่มี wifi ท่านเรียนรู้ภาษาอินคาโบราณ กินแบบชาวบ้าน นอนบนพื้นดิน สวดมนต์ใต้แสงดาว ท่านแบกคนป่วยขึ้นบนหลังพาไปหาหมอ ทรงสอนคณิตศาสตร์ให้เด็กๆ เป็นนักรบแห่งศรัทธา ผู้สงบเย็น
ศักยภาพแห่งผู้นำทางจิตวิญญาณเปล่งประกายไปถึงสำนักวาติกัน ทรงถูกเรียกให้เข้ามารับใช้ส่วนกลางเป็นพระอัครสังฆราช (Archbishop) ปกครองบิชอบอื่นทั่วโลก โดยปฏิเสธความหรูหราและยังคงสวมรองเท้าแตะคู่เดิม
30 กันยายน 2568 สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงแต่งตั้งท่านเป็นพระคาร์ดินัล (Cardinal)
และแล้ว เมื่อ 8 พฤษภาคม 2568 โดยใช้เวลา 2 วัน ปล่องควันโบสถ์น้อยซีสทีนส่งสัญญาณเป็นกลุ่มควันสีขาว พระคาร์ดินัลโรเบิร์ต ฟราสซิส พรีวอสต์ ปรากฏพระองค์ ณ ระเบียงกลางมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ โบกพระหัตถ์ท่ามกลางเสียงแห่งความปิติของคริสต์ศาสนิกชนที่เฝ้ารอ
มีการวิเคราะห์กันว่า
การเลือกชื่อ เลโอ ที่ 14 เป็นการสืบสานคำสอนของพระสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 (1878 -1903) ซึ่งในเวลานั้นตรงกับช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป จึงทรงเน้นสิทธิและศักดิ์ศรีของผู้ใช้แรงงาน และความรับผิดชอบทางศีลธรรม ของนายทุน
พระนาม เลโอ ที่ 14 จึงแสดงถึงคารวะธรรมต่อมรดกของเลโอ ที่ 13 เป็นสัญญาณว่า ศาสนจักรพร้อมจะนำคำสอนของสังคมคาทอลิกมาตอบโจทย์ของโลกที่กำลังปั่นป่วนด้วยหัวใจแห่งความยุติธรรม ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์และสันติภาพ

ขณะที่พระสันตะปาปาองค์ก่อนเลือกพระนามฟรานซิส (Francis) เป็นนักบุญสัญลักษณ์ความเรียบง่าย รักคนจน คนทุกข์ยากและรักสันติภาพ
พระสันตะปาปาเลโอที่ 14 กำลังหาคำตอบให้กับโลกยุคใหม่ที่เอไอ จะเข้ามาแทนแรงงาน
คนอเมริกันคนหนึ่งจากชิคาโก ที่ใช้ชีวิตอยู่กับความยากความจนมายาวนานที่เปรู และได้ตกผลึกคำสอน ที่นำสู่เศรษฐกิจแห่งการแบ่งปัน ความเป็นพี่น้อง และความร่วมมือ
แต่คนอเมริกันอีกคน เป็นผู้นำโลกที่โกหกชาวโลกได้ทุกวันแถมกดดันประเทศต่างๆ ด้วยการขึ้นภาษีการค้าหฤโหด โดยถือว่า อเมริกันต้องมาก่อน (American First) แต่แล้วศาลการค้าของสหรัฐอเมริกาก็เข้ามา มีคำพิพากษาถอนคำสั่งทรั้มป์ เป็นระบบคานอำนาจภายในของอเมริกา ที่โลกเฝ้าติดตามอย่างระทึกใจ
ก่อนซูดานใต้แยกตัวเป็นอิสระจากสาธารณรัฐซูดาน (อยู่ทางเหนือ) ในปี 2554 มีสงครามกลางเมืองล้างเผ่าพันธุ์ยืดเยื้อยาวนานถึง 30 ปี คนซูดานเสียชีวิตไปกว่า 2 ล้านคน ภัยสงคราม ความยากจน ความขาดแคลนสาธารณูปโภคทั้งๆ ที่มีบ่อน้ำมันมูลค่ามหาศาล ทำให้ซูดานจมปลักอยู่กับความรุนแรงตลอด
คู่ขัดแย้ง คือ ประธานาธิบดี กีอีร์ และอดีตรองประธานาธิบดี มาชาร์ ผู้ซึ่งกีอีร์ กล่าวหาว่าเขาเป็นผู้ก่อรัฐประหารทำให้เกิดสงครามกลางเมืองตลอดมา ตั้งแต่ปี 2556 มีผู้เสียชีวิตกว่า 4 แสนคน มีคนอพยพหนีภัยมากว่า 2 ล้านคน
ขณะที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และมาชาร์ ผู้นำฝ่ายกบฏ เรียกร้องให้ประธานาธิบดีกีอีร์ ปล่อยนักโทษการเมือง 11 คน แต่กีอีร์ไม่ฟัง และระดมกำลังเข้ายึดพื้นที่คืนจากฝ่ายกบฏ
ปี 2561 กีอีร์และมาชาร์ ลงนามข้อตกลงสันติภาพที่ เอธิโอเปีย และพยายามจะตั้งรัฐบาลร่วมกันในเดือนพฤษภาคมปีนั้น แต่ต้องเลื่อนเวลาไปอีกราว 6 เดือน ส่งผลให้ชาวซูดานใต้ 12 ล้านคน ยังเผชิญภาวะสงครามกลางเมืองต่อไป
สงครามกลางเมืองยังคุกรุ่น ความรุนแรงไม่มีทีท่าจะลดลง มีสภาพบ้านแตกสาแหรกขาด เหลือกำลังที่ทุกฝ่ายจะช่วยกันได้ ศาสนาจารย์จัสติน เวลบี อาร์คบิชอบ แห่งแคนเทอร์เบอรี่ ประมุขแห่งคริสตจักรอังกฤษ จึงเสนอให้ผู้นำซูดานทั้งสองฝ่ายเข้าเงียบ อาศัยศาสนาเป็นเครื่องสงบจิตสงบใจ ด้วยการเข้าพัก ในบ้านพักของสำนักวาติกัน
ในห้องประชุมรูปวงกลมที่ทุกคนหันหน้าเข้าหากัน เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2562 ณ สำนักวาติกัน พระสันตะปาปาฟรานซิส ตรัสให้ทุกฝ่ายเคารพข้อตกลงสงบศึก ที่จะจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นเอกภาพในเดือนหน้า
“ ข้าพเจ้าวอนขอพวกท่านด้วยหัวใจ ให้พวกท่านคงไว้ซึ่งสันติภาพ ให้เราก้าวเดินไปข้างหน้า ถึงแม้จะมีปัญหาต่างๆมากมาย แต่มันก็ไม่อาจเอาชนะเราได้ จงร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของพวกท่านเถิด........
ก็อาจมีการฟาดฟันและข้อขัดแย้งในหมู่พวกท่านบ้าง แต่ก็ขอให้เก็บมันไว้กับตัวท่าน เก็บไว้ในที่ทำงาน แต่ต่อหน้าผู้คน แล้วก็ขอให้จับมือกันไว้ ดังนั้นในฐานะคนธรรมดา ท่านจะกลายเป็นบรรพบุรุษของชาติ ”

หลังจากตรัสแล้ว ทุกคนตกตะลึง
ทั้งๆ ที่มีอาการเจ็บหัวเข่าเรื้อรัง ในวัย 82 ปี พระองค์ก้าวเดินช้าๆด้วยสีหน้าเบิกบานแจ่มใส โดยมีผู้ช่วยจับแขนประคองอยู่ด้านขวา พระองค์ก้าวไปยืนตรงหน้าประธานาธิบดีกีอีร์ คุกเข่าขวาลงกับพื้น คุกเข่าซ้ายตาม แล้วก้มลงจูบเท้าบุคคลที่อยู่ตรงหน้า แล้วถูกพยุงให้ยืนขึ้น เดินไปที่มาชาร์ ผู้นำกลุ่มกบฏ แล้วคุกเข่าลงกระทำแบบเดียวกันทรงจูบแม้ที่เท้าของรัฐมนตรีหญิงคือนางรีเบคกา มาบิยอร์
ความจริง หากไม่ทรงกระทำเช่นนั้น ก็จะไม่มีใครตำหนิพระองค์ได้เลย แต่พระองค์ตั้งใจจูบไปตรงที่ ที่ต่ำที่สุด คือหลังเท้าของผู้นำซูดาน เพื่อจะบอกว่าแม้แต่สิ่งที่ต่ำที่สุดของมนุษย์ พระองค์ยังจูบได้ นับประสาอะไรกับการให้เกียรติให้อภัยผู้อื่นจะทำไม่ได้เชียวหรือ
ใช่หรือไม่ว่า การคุกเข่าลงจูบเท้าผู้นำซูดานของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส เป็นภาษาท่าทางที่สะท้อนถึงความรักถึงที่สุด เป็นความรักที่ปราศจากเงื่อนไข ที่ได้แสดงไปแล้ว
เป็นการสื่อสารที่ไปไกลเกินกว่าวาทะกรรม หรือการเจรจาสันติภาพทั่วๆไป แต่ได้ใช้ภาษาท่าทาง ที่มีพลังแรงใจใหญ่หลวง การสื่อสารนี้จะมีผลดลใจต่อหัวใจของผู้นำซูดานหรือไม่ เป็นเรื่องที่ยากจะหยั่งได้ แต่เชื่อเถอะว่าเป็นการสื่อสารภาษาท่าทางที่ส่งพลังแรงต่อผู้คนทั่วโลกให้เป็นสักขีพยาน และเป็นพลังร่วมในความปรารถนาสันติภาพ ณ ดินแดนซูดานแห่งนั้น แม้ว่าในระยะเวลาต่อมาจนบัดนี้ ปัญหาของซูดานคลี่คลายลงไประดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีความบาดหมางค้างคาอย่างต่อเนื่องตลอดมา
สมเด็จพระสันตะปาปา เป็นพลังทางศีลธรรมระดับโลก ที่ไม่เพียงแพร่คำสอนของศาสนจักรเท่านั้น แต่หลายครั้งได้เข้าไปมีบทบาทสร้างสานสามัคคีธรรม เช่นกรณีสงครามกลางเมืองในซูดาน แต่ในช่วงที่เกิดสงครามกลางเมืองที่ประเทศรวันดา ในปี 1994 ระหว่างชาวตุ๊ดชี่ กับชาวฮูตู ในช่วงเวลา 100 วัน มีผู้เสียชีวิตราว 800,000 คน เป็นโศกนาฏกรรมใหญ่ของโลก
ในช่วงเวลานั้นวาติกันและพระสันตะปาปา ถูกวิจารณ์ว่าเงียบงันเกินไป ไม่ได้ออกมามีบทบาทสำคัญในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งต่อมาสันตะปาปาฟรานซิส ยังได้ออกมากล่าวขออภัยต่อบทบาทของคริสตจักรคาทอลิกในรวันดา ที่ไม่สามารถหยุดยั้งหรือตำหนิความรุนแรงได้อย่างทันท่วงที
ในวันนี้ โลกกำลังจับตาว่าสมเด็จพระสันตะปาปา เลโอที่ 14 จะทรงวางบทบาทอย่างไรต่อโลกที่ปั่นป่วน ด้วยความรุนแรงในหลายพื้นที่ โลกตะวันตกกำลังเสื่อมถอย เป็นยุคสมัยที่เอไอกำลังเข้ามาแทนที่มนุษย์ ในขณะที่ศาสนจักรเป็นพลังทางศีลธรรม ที่อาจสร้างพลังจูงใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่มีอำนาจบริหารจัดการที่เป็นจริงต่อประเทศใดๆ


Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา