
"...จากวิธีคิดเรื่อง “เซมิเอิจ” ของโบดริลยาดังกล่าว เมื่อนำมาวิเคราะห์ “ซอฟท์พาวเวอร์ไทย” ก็จะเห็นว่า แรกสุดเลย รัฐบาลไทยเราในปัจจุบัน กำลังคิดเอาสินค้าทางวัฒนธรรมมาขาย ส่วนจะขายได้แค่ไหนเป็นโจทย์ใหญ่อีกข้อหนึ่ง ดังพอจะมีคำตอบอยู่บ้างแล้ว เช่น การจัดรายการสินค้าซอฟท์พาวเวอร์ไทยที่พาราก้อนเมื่อไม่นานมานี้ แม่ค้าบ่นอุบว่าไม่มีคนซื้อ ส่วนที่อยู่ลึกลงไปอีก คือ การเมืองไทยกำลังส่งสัญญาณ “เซมิเอิจ” คือ ส่งสัญญาณว่ารัฐบาลเป็นผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางการเมืองมีคุณค่าทางสัญลักษณ์ กำลังสร้างสัญญาณและความหมายใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย..."
เมื่อหลายวันก่อน ผู้เขียนมีโอกาสแลกเปลี่ยนความรู้กับนักศึกษาปริญญาเอกสาขาหนึ่งของ มหาวิทยาลัยแถวสนามหลวง นักศึกษายกประเด็นเรื่องซอฟท์พาวเวอร์ไทยขึ้นมาว่า ความจริงซอฟท์ พาวเวอร์เป็นแนวคิดของโจเซฟ ไนย์ (Joseph Nye) ที่ได้เสนอต่อสหรัฐอเมริกาว่า การเข้าไปครอบครองโลกยุคหลังสมัยใหม่ไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจทางทหาร แต่อาจใช้อำนาจทางวัฒนธรรมก็ได้ ซึ่งเป็นวิธีการที่นุ่มนวลกว่า
นักศึกษาอภิปรายว่า ถ้าย้อนกลับมาดูประเทศไทย นโยบายซอฟท์พาวเวอร์ของรัฐบาลปัจจุบัน นั้น ที่จริงเป็นการนำเอาสินค้าวัฒนธรรมมาขาย ไม่ใช่คิดครอบงำทางวัฒนธรรมเหมือนสหรัฐอเมริกา นักศึกษาตั้งคำถามขึ้นมาว่า “ถ้าหากไทยคิดแบบสหรัฐอเมริกา คือ จะใช้อำนาจทางวัฒนธรรมครอบงำโลก เราจะต้องทำอย่างไร?”
คำถามนี้ทำให้น่าคิดและน่าถกเถียงกัน... สำหรับผู้เขียนนั้น ผู้เขียนมีคำตอบง่าย ๆ ว่ามันเป็นคนละบริบทกัน เราต้องคำนึงถึงบริบทของตัวเอง (self in context) ประการแรก เราไม่ใช่สหรัฐอเมริกาที่คิดจะไปครอบงำใคร และประการที่สอง ประเทศไทยเล็กเกินไป เกินกว่าที่จะคิดครอบงำคนอื่น..
วันนี้ผู้เขียนเห็นโจทย์ใหม่ขึ้นมาว่า โอเค..ถ้าหากซอฟท์พาวเวอร์ไทยเป็นการนำสินค้าวัฒนธรรมมาขายล่ะ เราเคยตั้งคำถามกันหรือไม่ว่า “ทำไมนโยบายซอฟท์พาวเวอร์ต้องเอาสินค้าวัฒนธรรมมาขาย?” และ “มีอะไรที่อยู่ลึกกว่าการกระทำนั้นอีกหรือไม่?”
การตอบคำถามใหม่นี้ ผู้เขียนนึกถึงคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) กับจอง โบดริลยาร์ (Jean Baudrillard)
มาร์กซ์นำเสนอว่าในระบบทุนนิยมนั้นสินค้ามีมูลค่าอยู่ 2 ประเภท คือ มูลค่าการใช้สอย (value of utility) กับมูลค่าการแลกเปลี่ยน (exchange value) เช่น คนเห็นไอแพคในมือนายกรัฐมนตรี คนก็จะคิดว่าใช้ยังไง? และราคาเท่าไหร่?
ถ้าคิดตามมาร์กซ์ก็จะเห็นว่าไม่มีใครคิดว่าไอแพคนั้นใครเป็นคนทำ เขาได้ค่าจ้างเท่าไหร่ และคิดต่อว่า--เห็นไหมล่ะคนทำได้ค่าจ้างน้อยกว่าราคาขายมาก นายทุนกดขี่ค่าแรงคนทำ..!!
แต่โบดิลยาร์แย้งว่า การแบ่งมูลค่าของสินค้าออกเป็นสองประเภทของมาร์กซ์นั้น ยังไม่ถูกเท่าไร เพราะแท้จริงแล้วโลกหลังสมัยใหม่หรือหลังอุตสาหกรรมนั้น ยังมีมูลค่าอีกประเภทหนึ่ง คือ มูลค่าของสัญลักษณ์ (symbolic value)
เช่น รถเบนซ์ราคาแพง ไม่ได้แปลว่ามันขับดีกว่ารถโตโยต้ามากนักหรอก แต่มันมีมูลค่าของสัญลักษณ์มากกว่า คือ ความหรูหราโอ่อ่าและการมีตำแหน่งทางสังคมของคนขับว่ามีฐานะร่ำรวย
ดังนั้น โลกหลังอุตสาหกรรม การผลิตจึงไม่สำคัญเท่ากับการบริโภค หรือกล่าวได้อีกอย่างว่า การทำให้ขายสินค้าที่ผลิตขึ้นมาแล้วขายได้นั้น สำคัญกว่าการผลิต
สิ่งที่ตามมาของโลกหลังสมัยใหม่ คือ การโฆษณาเพื่อให้คนบริโภคสัญลักษณ์ กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องกระทำ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความต้องการบริโภคสัญลักษณ์อยู่ตลอดเวลา และการโฆษณานี้เองที่กลายเป็นแรงขับและการประกอบสร้างตัวตนของคนในยุคหลังสมัยใหม่หรือหลังอุตสาหกรรม
โบดริลยาร์จึงเรียกสังคมหลังสมัยใหม่ว่าเป็น “เศรษฐกิจการเมืองของสัญญาณ” (the political economy of sign) หมายความว่ามีสื่อมวลชนหลังสมัยใหม่ทำหน้าที่ในส่งสัญญาณใหม่ ๆ ไปให้ประชาชน สัญญาณดังกล่าวได้รุกล้ำเข้ามาสู่บ้านเรือนของผู้คน เช่น เมื่อใดก็ตามที่คนเปิดโทรทัศน์ เปิดอินเตอร์เน็ต เปิดมือถือ คนก็จะได้รับสัญญาณเหล่านั้น
วิธีการส่งสัญญาณของสังคมหลังสมัยใหม่ต้องกระทำได้การสร้างสัญญาณและตัวหมายใหม่ ๆ ขึ้นมา เพื่อปลูกฝังมูลค่าทางสัญลักษณ์ให้กับผู้บริโภค โดยการผนวกเอาความต้องการขายสินค้าที่มีอยู่ในใจของคนขาย เข้ากับภาษาและวัฒนธรรม
ยกตัวอย่าง คนขายน้ำยาถูพื้น ผนวกเอาภาษาและวัฒนธรรม คำว่า “นุ่มนวล แวววาว” เข้ากับน้ำยาถูพื้น ออกมาเป็นคำโฆษณาว่า “ถ้าใช้น้ำยาถูพื้นยี่ห้อนี้ พื้นบ้านคุณจะสะอาด นุ่มนวล แวววาว” อาจสร้างนัยประหวัดต่อไปได้อีกว่า “พ่อแม่ลูก ๆ สามารถนอนกอดกันเล่นหรือหยอกกันเล่นได้สบาย”
การสร้างสัญญาณและตัวหมายใหม่ ๆ เพื่อปลูกฝังมูลค่าทางสัญญลักษณ์ให้กับผู้บริโภคนี้ โบดริลยาร์ เรียกว่า “Semiurg” หรือ “Semiurgic” หรือ “เซมิเอิจ”
“เซมิเอิจ” จึงหมายถึงการสร้างตัวหมายใหม่ ๆ เช่น คำว่า “นุ่มนวล แวววาว” ทั้งที่เดิมเป็นตัวหมาย (signifier) ที่มีอยู่แล้วในภาษาไทย แต่คนขายน้ำยาถูพื้นเอามาเชื่อมโยงกับน้ำยาของตัวเอง กลายเป็นตัวหมายใหม่ เพื่อให้เกิดการตีความใหม่ (signified) ที่เชื่อมโยงกันว่า “น้ำยาถูพื้นทำให้พื้นบ้านเกิดความนุ่มนวล แวววาว น่านั่งเล่น นอนเล่น”
คำว่า “เซมิเอิจ” ของโบดริลยาร์ จึงต้องการเอามาขยายความทฤษฎีของมาร์กซ์ที่มาร์กซ์เคยเสนอว่า “สังคมทุนนิยมนั้น ทำทุกอย่างให้เป็นสินค้า (commodification)” ซึ่งไม่ได้เว้นแม้แต่ “พระห้อยคอ” “รูปเหรียญ” หรือแม้แต่ “วัฒนธรรม”
โบดริลยาร์ต้องการขยายความต่อว่ากระบวนการทำให้เป็นสินค้าของมาร์กซ์นั้น ได้ขยายออกมาสู่อาณาบริเวณทางวัฒนธรรมและความหมาย นอกจากนั้นยังได้รุกล้ำเข้ามาเปลี่ยนความคิด ภาษาและโครงสร้างทางจิตวิทยาไปเป็นองค์ประกอบทางเศรษฐกิจทั้งหมดด้วย
หมายความว่า “อะไรก็ช่าง” ที่มันเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ โลกทุนนิยมหลังสมัยใหม่ มันสามารถเอามาขายกันได้หมด ไม่เว้นแม้แต่ยศตำแหน่งข้าราชการ หรือความยุติธรรม...ในทางกลับก็น่ากลัวว่า “เงิน” มันจะซื้อได้หมดเช่นกัน..
โบดริลยาร์จึงเห็นว่าสำหรับโลกหลังสมัยใหม่แล้ว วิถีการสร้างความหมายและการให้ข้อมูลข่าวสาร (mode of information) สำคัญกว่าวิถีการผลิต (mode of production)..
จากวิธีคิดเรื่อง “เซมิเอิจ” ของโบดริลยาดังกล่าว เมื่อนำมาวิเคราะห์ “ซอฟท์พาวเวอร์ไทย” ก็จะเห็นว่า แรกสุดเลย รัฐบาลไทยเราในปัจจุบัน กำลังคิดเอาสินค้าทางวัฒนธรรมมาขาย ส่วนจะขายได้แค่ไหนเป็นโจทย์ใหญ่อีกข้อหนึ่ง ดังพอจะมีคำตอบอยู่บ้างแล้ว เช่น การจัดรายการสินค้าซอฟท์พาวเวอร์ไทยที่พาราก้อนเมื่อไม่นานมานี้ แม่ค้าบ่นอุบว่าไม่มีคนซื้อ
ส่วนที่อยู่ลึกลงไปอีก คือ การเมืองไทยกำลังส่งสัญญาณ “เซมิเอิจ” คือ ส่งสัญญาณว่ารัฐบาลเป็นผู้ประกอบการที่ขายสินค้าทางการเมืองมีคุณค่าทางสัญลักษณ์ กำลังสร้างสัญญาณและความหมายใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย
แต่ถ้าถามว่า “แล้วสัญญาณและความหมายใหม่ ๆ นั้นคืออะไร” รัฐบาลกลับตอบไม่ได้ เพราะตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน..
ดังนั้น ซอฟท์พาวเวอร์ไทยคืออะไร ไม่สำคัญ แต่ความสำคัญมากกว่า คือ “เซมิเอิจ” ในความหมายที่ว่ารัฐบาลกำลังสร้างสัญญาณจะนำพาประเทศไปสู่ความศิวิไลซ์ โดยมีซอฟท์พาวเวอร์ไทยเป็นนโยบายนำทาง
แต่นโยบายดังกล่าวจะนำทางไปสู่ความสำเร็จตามตัวหมายที่ส่งสัญญาณออกมาหรือไม่? อยู่ที่การพิสูจน์ความจริงในอนาคต อย่างไรก็ตาม คนไทยทั้งประเทศก็น่าจะมองออกว่า “ในเมื่อคนกำหนดนโยบายยังไม่รู้เลยว่า นโยบายซอฟท์พาวเวอร์ของตัวเองคืออะไร แล้วมันจะทำให้เกิดความสำเร็จขึ้นมาได้อย่างไร”!!
ยิ่งเมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการซอฟท์พาวเวอร์ไทยเชิญซีอีโอบริษัทการพนันกาสิโนขนาดใหญ่ของโลกมากล่าวปาฐกถานำ โดยอ้างว่าเขาเป็น “ผู้บริหารบริษัทซอฟท์พาวเวอร์ระดับโลก” และบริษัทยังได้ประกาศให้ทุนคนไทยไปอบรมซอฟท์พาวเวอร์ในแหล่งเอนเทอร์เทนแม้นต์คอมเพล็กซ์ของบริษัทด้วย
คำว่า “ซอฟท์พาวเวอร์ไทย” คำว่า “บริษัทซอฟท์พาวเวอร์ระดับโลก” และคำว่า “เอนเทอร์เทนเม้นต์คอมเพล็กซ์” ของรัฐบาลไทยในปัจจุบันล้วนเป็นคำที่ใช้อย่าง “กำกวม” และ “ไม่ได้ถูกต้องตรงกับความหมายที่แท้จริง”
แต่เป็น “เซมิเอิจ” คือ เป็นตัวหมายใหม่ ๆ ที่รัฐบาลกำลังเล่นความหวังของคน โดยเอาประเทศไปเดิมพันชนิดที่กล้าเสี่ยงอย่างน่าตกใจ เพราะไม่ยอมมอง “ด้านมืด” ที่จะเกิดขึ้นจากตัวหมายเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย!
คำถามที่ลึกไปกว่านั้นอีก คือ อะไรที่อยู่เบื้องหลังการกล้าเสี่ยงดังกล่าว…!!!
บทความโดย :
เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา