
"...ถ้าเราปล่อยให้การเมืองหรือผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มเข้าแทรกแซง ได้คนที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาเป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติ ในช่วงเวลาที่ระบบเศรษฐกิจการเงินโลกกำลังปั่นป่วนหนักแล้ว เกิดแผ่นดินไหวทางเศรษฐกิจครั้งต่อไป อาจจะทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยพังราบลงเร็วได้กว่าตึก สตง...."
ในขณะที่คนไทยยังถูกหลอนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ และภาพตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พังราบลงมาในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ศพของคนงานก่อสร้างจำนวนมากยังติดอยู่ในซากอาคาร
แต่ความไม่ชอบมาพากลสารพัดเรื่องของการอนุมัติและการก่อสร้างตึกได้ถูกเปิดขึ้นมาให้คนไทยได้รับรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะการใช้นอมีนีทั้งจริงและเทียมในหลายขั้นตอน ตั้งแต่บริษัทผู้รับเหมาที่ชนะการประมูล วิศวกรผู้ออกแบบ วิศวกรควบคุมงาน จนสร้างความแปลกใจว่าเกิดขึ้นกับโครงการของ สตง. ได้อย่างไร
เพราะ สตง. มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินของหน่วยงานราชการทั้งประเทศ และมีมาตรฐานการทำงานที่ยึดถือกฎและขั้นตอนตามระเบียบยิ่งกว่าไม้บรรทัด
แม้ว่าซากตึกจะปรากฎให้เห็นเป็นภูเขาอิฐปูนอยู่กลางเมือง ผู้บริหาร สตง. ต่างออกมายืนยันว่าได้ปฏิบัติตามขั้นตอนและระเบียบที่กฎหมายกำหนดไว้ทุกอย่าง
ที่ต้องยกเรื่องเหตุการณ์แผ่นดินไหวส่งผลให้ตึก สตง. พังราบลงมา เพราะต้องการให้เป็นอุทธาหรณ์ว่า การปฏิบัติตามขั้นตอนและกฎระเบียบที่มี ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าเราจะได้ของคุณภาพสูง คุ้มค่า ตรงกับความต้องการเสมอไป
เพราะในหลายกรณี ผู้มีอำนาจที่เข้าใจกฎระเบียบรู้ว่าจะใช้วิชาใต้ดินอย่างไร เข้าไปแทรกแซง ใช้หรือยอมให้ใช้นอมินีตรงไหนแบบไม่ผิดระเบียบ เพื่อให้ได้ผลตามที่ตนต้องการ ซึ่งอาจจะเป็นผลประโยชน์ส่วนตน หรือของพรรคพวก โดยไม่ได้คำนึงถึงผลประโยชน์โดยรวมของประเทศ
เรามีเรื่องความไม่ชอบมาพากลในการทำงานของภาครัฐปรากฎให้เห็นอยู่ทุกวัน ในเวลานี้มีเรื่องหนึ่งที่ต้องช่วยกันเฝ้าระวัง และติดตามกันอย่างใกล้ชิด คือ การคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)หรือแบงก์ชาติคนต่อไป ที่จะเริ่มกระบวนการในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้า
ถ้าเราปล่อยให้การเมืองหรือผลประโยชน์ของคนบางกลุ่มเข้าแทรกแซง ได้คนที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมมาเป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติ ในช่วงเวลาที่ระบบเศรษฐกิจการเงินโลกกำลังปั่นป่วนหนักแล้ว เกิดแผ่นดินไหวทางเศรษฐกิจครั้งต่อไป อาจจะทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยพังราบลงเร็วได้กว่าตึก สตง.

นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์
ทันทีที่นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กำลังจะลงนามแต่งตั้งกรรมการคัดเลือกผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ และได้ทาบทามนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีคปลัดกระทรวงการคลัง ให้ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการคัดเลือก ทำให้มีคนเริ่มตั้งคำถามว่า กระบวนการจะซ้ำรอยการคัดเลือกประธานกรรมการปบงก์ชาติหรือไม่
หวังว่าคนไทยยังไม่ลืมการคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติรอบที่ผ่านมา ซึ่งนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ เป็นประธานคณะกรรมการคัดเลือกเช่นกัน และได้เสนอชื่อ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกะทรวงการคลังสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ท่ามกลางเสียงค้านจากอดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติถึงสี่คน นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์อีกนับร้อยนับพัน รวมทั้งผู้รู้กฎหมายและผู้ที่หวังดีต่อบ้านเมืองอีกจำนวนมาก
คนที่คัดค้านเห็นตรงกันว่านายกิตติรัตน์ขาดคุณสมบัติที่จะเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เพราะยังไม่พ้นจากการเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเกินหนึ่งปีตามที่กฎหมายกำหนด
นายกิตติรัตน์ได้แสดงให้เห็นมาโดยต่อเนื่องว่าใกล้ชิดแนบแน่นกับพรรคเพื่อไทย มีบทบาทในการกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรค และคอยติดตามหน่วยงานราชการต่างๆ ให้เดินตามนโยบายเศรษฐกิจของพรรค
และที่สำคัญนายกิตติรัตน์ได้แสดงออกถึงแนวคิดที่จะแทรกแซงการทำงานของแบงก์ชาติมาโดยต่อเนื่อง ตั้งแต่เมื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศ การกำกับดูแลสถาบันการเงิน หรือแสดงพฤติกรรมต้องการปลดผู้ว่าแบงก์ชาติในเวลานั้นเพราะไม่สนองนโยบายที่มุ่งแต่ผลระยะสั้นๆ
เรื่องเหล่านี้คนไทยทราบกันทั้งเมือง แต่นายสถิตย์กับคณะกรรมการคัดเลือก ยังคงเสนอชื่อนายกิตติรัตน์ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแต่งตั้งนายกิตติรัตน์เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
ด้วยสารพัดเหตุผลคัดค้าน แม้แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก็ไม่แน่ใจว่านายกิตติรัตน์ขาดคุณสมบัติหรือไม่ จึงต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัย ซึ่งผลออกมาชัดเจนมากว่านายกิตติรัตน์เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงขาดคุณสมบัติที่จะเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ต้องเริ่มกระบวนการคัดเลือกใหม่จนได้นายสมชัย สัจจพงษ์ เป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติแทน
นายสมชัยก็ไม่ใช่คนอื่นไกล เคยเป็นปลัดกระทรวงการคลัง และเป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ที่เป็นมือขวาของนายกิตติรัตน์ สมัยที่นายกิตติรัตน์เป็นรัฐมนตรี
โดยมารยาทแล้วเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกามีคำวินิจฉัยออกมาชัดเจน แสดงให้เห็นว่าการตีความของนายสถิตย์และคณะกรรมการคัดเลือกไม่ตรงกับเจตนารมย์ของกฎหมาย ทั้งนายสถิตย์และคณะกรรมการคัดเลือก(ที่ได้รับแต่งตั้งเข้ามาอีกบางคน)ควรแสดงความรับผิดขอบด้วยการลาออกหยุดทำหน้าที่คัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติต่อไป
แต่เราคงจะถามหาเรื่องมารยาทและความรับผิดชอบได้ยากมากจากนายสถิตย์และกรรมการคัดเลือกที่ได้รับแต่งตั้งเข้ามาอีกครั้ง จนอดสงสัยไม่ได้ว่า การคัดเลือกผู้ว่าแบงก์ชาติครั้งนี้ มีเป้าหมายที่ผลประโยชน์และผลประโยชน์ของบ้านเมืองผู้มีอำนาจในรัฐบาล
คำถามคือว่าทำไม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนนี้ถึงนิยมเรียกใช้บริการจากนายสถิตย์ ทั้งที่สังคมแคลงใจกับกระบวนการคัดเลือกประธานกรรมการบงก์ชาติที่ผ่านมา
ประเด็นที่น่าสงสัยเรื่องที่สองคือ นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังระบุชัดเจนว่า ได้ทาบทามให้นายสถิตย์มาเป็นประธานคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าแบงก์ชาติคนต่อไป ทั้งๆที่ตามกฎหมายแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต้องแต่งตั้งกรรมการคัดเลือกเจ็ดคน ประกอบด้วยอดีตปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เมื่อแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกครบทั้งเจ็ดคนแล้ว กรรมการคัดเลือกจะลงมติเลือกประธานกันเอง(พ.ร.บ.ธนาคารห่งประเทศไทย มาตรา 28/1วรรคสี่)

นายพิชัย ชุณหวชิร
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังไม่มีอำนาจแต่งตั้งประธานคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าแบงก์ชาติแต่อย่างใด
การที่นายพิชัยประกาศว่าได้ทาบทามให้นายสถิตย์มาเป็นประธานคณะกรรมการเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่
ประแด็นที่น่าสงสัยเรื่องที่สาม ซึ่งสำคัญไม่น้อยกว่าสองเรื่องแรก คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกมาเปิดเผยเองว่าได้ไปพูดคุยกับผู้ที่สนใจสมัครเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติบางคนแล้ว เพื่อสอบถามและพูดคุยแนวความคิดในบางเรื่อง
กฎหมายกำหนดกระบวนการคัดเลือกผู้ว่าแบงก์ชาติไว้ชัดเจน เพราะไม่ต้องการให้การเมืองเข้ามาแทรกแซง จึงแบ่งหน้าที่ระหว่างคณะกรรมการคัดเลือกกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกจากกัน
คณะกรรมการคัดเลือกเป็นกลไกคัดกรองผู้สมัคร แล้วจึงเสนอชื่อคนที่เหมาะสมเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติไม่น้อยกว่าสองชื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคัดเลือก เพื่อเสนอชื่อให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและทูลเกล้าทูลกระหม่อมให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งต่อไป
ดังนั้นการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะสัมภาษณ์ หรือพูดคุยกับผู้ที่สนใจเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติ ควรเกิดขึ้นหลังจากที่คณะกรรมการคัดเลือกได้กลั่นกรองและเสนอชื่อผู้ที่เหมาะสมมาแล้ว ไม่ใช่แอบไปคุยก่อนคณะกรรมการคัดเลือกจะเปิดรับสมัครอย่างเป็นทางการ
ไม่มีใครรู้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลังไปคุยกับผู้ที่สนใจสมัครแต่ละคนอย่างไรบ้าง ไปบอกใครให้รีบสมัครหรือหยุดไม่ต้องสมัครบ้างหรือไม่ หรือไปถามแนวความคิดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยได้สักแค่ไหน จะยอมให้รัฐบาลเอาทุนสำรองระหว่างประเทศออกมาใช้ได้บ้างไหม หรือจะสนับสนุนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตและสเตเบิลคอยน์ของ สทร. หรือไม่อย่างไร
ที่สำคัญคือเมื่อแอบไปคุยนอกรอบมาก่อนแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะส่งสัญญาณให้นายสถิตย์และคณะกรรมการคัดเลือกต้องเสนอชื่อใครเป็นพิเศษหรือไม่
เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครทราบได้เพราะเป็นการคุยกันในที่ลับ แต่การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ อาจจะทำให้มองได้ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต้องการใช้อำนาจแทรกแซงกระบวนการคัดเลือกผู้ว่าแบงก์ชาติ และให้คณะกรรมการคัดเลือกมีบทบาทเป็นเพียงนอมินีให้ถูกต้องกับกระบวนการตามกฎหมาย
พฤติกรรมที่เหล่านี้ ทำให้สังคมอดสงสัยไม่ได้ว่าการเมืองกำลังหาทางแทรกแซงกระบวนการคัดเลือกผู้ว่าแบงก์ชาติคนต่อไป เพื่อที่จะเอาคนที่แนบแน่นกับการเมือง หรือยินดีที่จะรับใช้พรรคการเมืองเข้ามาดำรงตำแหน่งเหมือนกับตอนคัดเลือกประธานบอร์ดแบงก์ชาติหรือไม่
ได้แต่หวังว่าจะไม่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต้องถูกศาลพิพากษาให้ติดคุกอีกคนเพราะทำผิดพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย และหวังว่าจะไม่มีใครร้องเรียนกระบวนการคัดเลือกผู้ว่าแบงก์ชาติคนต่อไปจนทำให้สะดุดหยุดลง
ประเทศไม่สามารถตกอยู่ในสภาวะสูญญากาศขาดผู้ว่าแบงก์ชาติได้ โดยเฉพาะในเวลานี้ที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันมากมายจนอาจจะเกิดวิกฤตรอบใหม่ได้
ช่วงสองสามเดือนข้างหน้าต่อจากนี้ไป คนไทยคงต้องช่วยกันจับตามองว่าผู้ที่สมัครและได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติคนต่อไปมีคุณสมบัติเหมาะสมจริงหรือไม่ หรือมีเจตนาที่จะเข้ามารับใช้อำนาจและผลประโยชน์การเมือง
ผู้ว่าแบงก์ชาติคนต่อไป นอกจากจะต้องรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ การเงิน และการธนาคารอย่างดีแล้ว จะต้องมีประสบการณ์จริงในการบริหารงานยากๆ ท่ามกลางความซับซ้อนและความคาดหวังที่หลากหลายรอบด้านล้ว
ต้องมีผลงานด้านนโยบายสาธารณะเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับจากสังคมว่ากล้าที่จะยืนหยัดในความถูกต้องเพื่อประโยชน์โดยรวมของประเทศ กล้าที่จะแสดงความเห็นต่างหรือเคยคัดค้านนโยบายของรัฐบาลที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งต้องไม่เกี่ยวข้องเป็นเครือญาติ หรือเกี่ยวข้องกับธุรกิจ หรือทรัพย์สินของผู้มีอำนาจในรัฐบาล (และ สทร.)
และที่สำคัญต้องมีระยะห่างกับสถาบันการเงินมากพอ ที่จะทำให้สังคมเชื่อมั่นได้ว่าจะกำกับดูแลสถาบันการเงินอย่างเที่ยงธรรม ตรงไปตรงมา โดยเอาผลประโยชน์ของประชาชนและความมั่นคงของระบบสถาบันการเงินเป็นที่ตั้ง
บทความโดย :
วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
- 'พิชัย' เซ็นตั้ง 'สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์' นั่งประธาน กก.สรรหาผู้ว่า ธปท.

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา