
"...สีจิ้นผิงจึงใช้จังหวะเวลานี้ไปเยือนมาเลเซีย เพื่อซื้อใจมาเลเซีย ประเทศมุสลิมที่ไม่เอายิว และมาเลเซียก็มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง ในการเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรม สร้างห่วงโซ่อุปทานขั้วใหม่ จีนจึงต้องการดึงมาเลเซียมาเป็นพรรคพวกในกลุ่มโลกขั้วใต้ โดยเฉพาะการผลักดันให้มาเลเซียกลายเป็น BRICS full member ต่อไป..."
ทำไมปธน. สีจิ้นผิงเลือกไปเยือน 3 ประเทศนี้ เหตุผลสำคัญคงไม่ได้มีแค่คำอธิบายในภาษาทางการที่เผยแพร่กันทั่วไป เช่น
-ไปเวียดนาม เพราะจะไปฉลองครบรอบ 75ปี ความสัมพันธ์จีน-เวียดนาม และเวียดนามเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของจีนในอาเซียน
-ไปมาเลเซีย เพราะปีนี้ มาเลเซียเป็นประธานอาเซียน และจีนลงทุนมหาศาลในมาเลเซีย
-ไปกัมพูชา เพราะเป็นพันธมิตรในสังกัดจีน และเอียงข้างจีนมานาน
ฯลฯ
แล้วอะไรที่น่าจะเป็น เหตุผลเบื้องลึก มากกว่าสิ่งที่พูดกันทั่วไป เรามาลองไล่เรียงรายประเทศ ดังนี้
1.เวียดนาม ในยุคทรัมป์ขึ้นภาษีมหาโหด เพื่อความอยู่รอด เวียดนามต้องยอมหมอบให้สหรัฐ (เช่น รีบเสนอลดภาษีเหลือ 0 ให้สหรัฐ ) ไม่งั้นเศรษฐกิจเวียดนามจะกระทบหนัก เพราะพึ่งพารายได้จากการส่งออกไปสหรัฐเป็นสัดส่วนที่สูงมาก
ในมุมจีน เวียดนามมีความสำคัญยิ่งยวดสำหรับจีน และเพื่อไม่ให้เวียดนามเอนเอียงหรือยอมหมอบให้สหรัฐไปมากกว่านี้ สีจิ้นผิงจึงต้องรีบบินไปย้ำความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับสหายเวียดนาม ตอกย้ำความเป็นภารดรภาพ brotherhood กับสหายโตเลิม ผู้นำสูงสุดของเวียดนาม รวมทั้งการกระตุ้นกระแสความรักชาติไม่ยอมให้ใครมาย่ำยี ย้ำประสบการณ์ในการต่อสู้กับลัทธิ colonialism และ imperialism
ลึกๆ แล้ว จีนก็อาจจะแอบกังวลว่า เวียดนามในยุคเลขาฯ โตเลิม อาจจะไม่ได้ให้ priority มาทางจีนมากเหมือนยุคเลขาฯ จ่อง ที่เพิ่งเสียชีวิต ที่สำคัญ ทรัมป์และอิลอน มัสถ์ มีผลประโยชน์ทางธุรกิจในเวียดนาม ครอบครัวทรัมป์มีโครงการลงทุนมหาศาลหลัก 1.5 พันล้านดอลลาร์ในเมืองบ้านเกิดของโตเลิม และยังมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนักธุรกิจใหญ่ในเวียดนาม (เช่น นางเหวียน เจ้าของสายการบิน Vietjet )
ดังนั้น การไปเยือนเวียดนามรอบนี้ จีนเร่งรุกขยายความร่วมมือกับเวียดนาม และลงนามความร่วมมือระหว่างกันมากถึง 45 ฉบับ !!
2.มาเลเซีย ในยุคนายกฯอันวาร์ มีท่าทีเชิงบวกและมีใจให้กับจีน และมาเลเซียยังเป็นประเทศมุสลิมที่มีท่าทีแข็งกร้าวกับชาติตะวันตก (ยิว) อย่างชัดเจน
สีจิ้นผิงจึงมองเห็นศักยภาพของมาเลเซียที่จะมีบทบาทในกลุ่มโลกขั้วใต้ Global South ร่วมกับจีน เพื่อร่วมกันคานอำนาจบาตรใหญ่ ของมหาอำนาจสหรัฐในยุคทรัมป์
สีจิ้นผิงจึงใช้จังหวะเวลานี้ไปเยือนมาเลเซีย เพื่อซื้อใจมาเลเซีย ประเทศมุสลิมที่ไม่เอายิว และมาเลเซียก็มีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง ในการเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรม สร้างห่วงโซ่อุปทานขั้วใหม่ จีนจึงต้องการดึงมาเลเซียมาเป็นพรรคพวกในกลุ่มโลกขั้วใต้ โดยเฉพาะการผลักดันให้มาเลเซียกลายเป็น BRICS full member ต่อไป
นอกจากนี้ มาเลเซียยุคอันวาร์ ยังได้ต้อนรับ welcome โครงการลงทุนของจีนจำนวนมาก เช่น โครงการรถไฟ ECRL และมีบริษัทจีนชั้นนำหลายแห่งไปลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในมาเลเซีย ค่ายรถ Geely ของจีน ไปช่วยลงทุนในค่ายรถ Proton ของมาเลเซียที่ขาดทุนหนัก และกลุ่มทุนใหญ่ของจีนยังได้ไปช่วยพยุงกองทุน 1MDB ของมาเลเซียที่มีปัญหาทางการเงิน (ในขณะที่ บางประเทศในอาเซียนมีกระแสต่อต้านทุนจีนอย่างหนัก)
3.กัมพูชา ในยุคฮุนมาเน็ต ท่าทีของกัมพูชาต่อจีนก็อาจจะไม่จงรักภักดีมากเท่ากับในยุคฮุนเซน เพราะฮุนมาเน็ตเป็นผู้นำหัวสมัยใหม่รับการศึกษาและหล่อหลอมทางความคิดมาจากโลกตะวันตก จึงอาจจะปรับท่าที เพื่อไม่เอียงข้างจีนมากเกินไป (เหมือนยุคพ่อ) และแสวงหาความร่วมมือกับชาติตะวันตกมากขึ้น
(ล่าสุด ผู้บริหาร Space X ผู้ให้บริการ Starlink เพิ่งไปพบฮุนมาเนต)
สีจิ้นผิงจึงเลือกแวะไปกัมพูชาเป็นประเทศสุดท้ายในทริปนี้ก่อนยืนกลับจีน เพื่อตอกย้ำความสัมพันธ์กับกัมพูชา โดยเฉพาะด้านความมั่นคง เพื่อให้กัมพูชายังคงอยู่ฝั่งจีนอย่างเหนียวแน่นต่อไป
Note : สำหรับคำถามที่ว่า ทำไมสีจิ้นผิงไม่มาไทย ขอให้ตั้งใจไล่เรียงอ่านเหตุผลเบื้องลึกในการเยือน 3 ประเทศนี้นะคะ ท่านก็จะพบคำตอบระหว่างบรรทัดอย่างชัดเจนแล้วว่า ทำไมไม่มาไทย
ที่มา : เฟซบุ๊ก Aksornsri Phanishsarn
หมายเหตุ : ภาพประกอบสีจิ้นผิง จาก thansettakij.com
ธงชาติกัมพูชา จาก th.wikipedia.org
ธงชาติมาเลเซีย จาก th.wikipedia.org
ธงชาติเวียดนาม จาก oire.bru.ac.th

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา