หลังจากได้พบกับ Thaddeus Ross ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา Sam Wilson ก็พบว่าเขากำลังอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทำให้เขาต้องค้นหาสาเหตุเบื้องหลังของเหตุการณ์อันเลวร้าย ก่อนที่โลกทั้งใบจะลุกเป็นไฟด้วยแผนการของวายร้ายคนนี้
ในช่วงหลังมานี้ หนังฟอร์มยักษ์หลายๆเรื่องทยอยขาดทุนกันแบบนับไม่ถ้วน ไม่เว้นแม้แต่หนังฮีโร่ที่คงสามารถใช้คำว่าถึงขาลงแล้วไม่ว่าจะทั้ง มาเวล หรือ ดีซี มาในครั้งนี้ มาเวล ได้ส่งฮีโร่คนใหม่ กับหนังเดี่ยวครั้งแรกของเค้า Captain America Sam Wilson ที่กล่าวว่าจะมาเป็นตัวเปิดหนทางใหม่ ของอนาคตหนังมาเวลหลังจากนี้
ปัญหาของเรื่องนี้เราเห็นได้ตั้งแต่ข่าวที่ออกมาก่อนหนังฉายตั้งแต่เหตุการณ์ถ่ายแก้หลายครั้งจนงบประมาณการสร้างเริ่มบานปลาย รวมถึงเสียงตอบรับที่ไม่ดีจากการทดลองฉายเป็นการภายใน เกิดการแก้ไขหลายครั้ง จนกลายมาเป็นเวอร์ชันที่ให้เราได้ดูกัน ซึ่งว่ากันตามตรง หนังเรื่องนี้คงยากที่จะทำกำไรถล่มถลายแน่นอน จากหลายๆ ปัจจัย
กรณีของ Captain America: Brave New World มีความคล้ายกับหนังเรื่อง The Flash (2023) คือพลังดาราของพระเอกมีไม่พอที่จะดันหนังของตัวเอง จนต้องไปเอาคนดังๆ มาเล่น แต่ที่แย่กว่า The Flash (2023) อย่างน้อย Ezra Miller ก็สามารถแสดงออกมาได้อย่างดีเยี่ยมสมบทบาท แต่กับตัวละคร Sam Wilson ที่เล่นโดย Anthony Mackie ไม่ได้มอบมุมมองอะไรเพิ่มเติมให้กับตัวละครนี้เลย ซ้ำร้ายประเด็นของตัวละครนี้ในหนัง กลับมาเล่นประเด็นเดิมๆ อย่างการเลียแผลใจของ Sam เรื่องความรู้สึกไม่เหมาะสมจะเป็น Captain America ทั้งที่เล่นไปแล้วใน The Falcon and the Winter Soldier เหมือนราวกับว่า ทุกครั้งที่จะเล่นประเด็นของ Sam Wilson ก็จะนึกออกแต่ประเด็นนี้ จนเกิดเป็นความน่ารำคาญกัปตันคนใหม่ของเราแทน
ข้อต่อมาก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ Disney คิดอะไรไม่ออกแล้วไปเอา Harrison Ford มาเล่นหนังทรมานผู้สูงอายุอีกครั้ง แม้บทบาทของ Harrison Ford ในบทของ Thaddeus Ross จะมีภาษีดีกว่า กัปตันของเรา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสีย ด้วยความที่ Harrison Ford อาจจะแก่เกินไปที่จะรับบทในเรื่องนี้ แถมเนื้อเรื่องมันยังเป็นประเด็นต่อเนื่องจากหนังเรื่อง The Incredible Hulk (2008) ที่เชื่อว่าหลายคนลืมไปแล้ว แต่ถึงไม่ลืมก็คิดว่ามันไม่ได้น่าสนใจขนาดถึงกับต้องนำมาสานต่อขนาดนั้น เลยทำให้ประเด็นดราม่าของเรื่องมันก็ดูอ่อนลงมาอีก แถมพ่วงมาด้วยพล็อตก็อปตัวร้ายสไตล์ผู้บงการเบื้องหลังแบบเดิมๆ คล้ายกับ Baron Zemo จาก Captain America: Civil War ที่ขาดความเอาใจใส่แบบมากๆจนรู้สึกเกือบลืมไปในท้ายเรื่อง (ที่แม้แต่ผมเองยังลืมชื่อ) ทั้งที่ตัวละครตัวนี้เป็นผู้รับกรรมจากการกระทำแย่ๆของ Thaddeus Ross และควรจะส่งดราม่าได้ดีกว่านี้แท้ๆ ท้ายที่สุดตัวร้ายตัวนี้ ก็ไม่สามารถส่งผลกระทบอะไรให้กับจักรวาลนี้ได้แม้แต่น้อย
ตัวพล็อตเรื่องของก็เป็นการยกสไตล์การเล่าคล้ายๆ Captain America: The Winter Soldier ในรูปแบบเล่าได้ไม่ถึงเท่า การเมืองในเรื่องที่ควรจะดูเข้มข้นกว่านี้ กลับดูเหมือนไม่กล้าเล่าให้ไปสุดจนเกินไป อาจจะด้วยความต้องการประคองเรตให้ไม่เกิน PG-13 จนทำให้ความจริงจังการเมืองในเรื่องดูไม่ค่อยมีน้ำหนักเท่าไหร่ ทั้งความพยายามจะเปรียบ Thaddeus Ross เป็นเหมือน Donald Trump ในจักรวาลมาเวล แต่กลับเป็นเหมือนแค่การยกนิสัยมาใส่เฉยๆ ไม่ได้รับการใส่ใจเท่าที่ควร ที่แย่ที่สุดคือตัวอย่างของเรื่องที่ดันไปเฉลยแล้วว่า Thaddeus Ross จะกลายเป็น Red hulk ในช่วงสุดท้ายของเรื่อง จนทำให้คนดูเกิดการเดาเรื่องทั้งหมดออกได้อย่างง่ายดาย จนเกิดการตั้งคำถามในใจของผมว่า หรือหนังเรื่องนี้ มีของเด็ดมาเล่นเท่าที่มีในตัวอย่างกันนะ
และปัญหาสุดท้ายคือการเล่าเรื่องที่ออกมาได้จืดชืดไม่น่าสนใจ และไร้ความน่าจดจำ กล่าวได้ว่า Captain America: Brave New World ก็สามารถเป็นหนังอีกเรื่องที่สามารถข้าม แล้วไปรอหนังมาเวลเรื่องต่อไปได้โดยไม่ต้องเสียเวลามาดู เนื่องจากในช่วงหลังมานี้หนังมาเวล ทำแต่หนัง Play Safe ไม่กล้าที่จะเสี่ยงทำอะไรใหม่ๆ หรือกล้าเสี่ยงทำอะไรแบบสมัยก่อนอีกต่อไปแล้ว เพราะเอาเข้าจริง แค่คุณดูตัวอย่างของ Captain America: Brave New World คุณก็สามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้โดยที่ไม่ต้องดูแล้ว แต่หากคุณชอบดูหนังแอคชั่นเดิมๆก็ลองไปรับชมกันในโรงได้ครับ
สุดท้ายแล้ว แม้ Sam Wilson อาจจะไม่จำเป็นต้องพยายามเป็น Steven Rogers เพราะเอาเข้าจริงๆแล้ว คุณค่าในตัวละครนี้หาใช่การพยายามจะต้องมาแทน Steven Rogers แต่สิ่งที่ผมมั่นใจแน่นอนคือ Sam Wilson ในตอนนี้ ช่างอยู่ห่างไกลจากความเป็นผู้นำแบบ Captain America แน่นอน ถ้าหากเค้ายังไม่เลิกตั้งคำถามเรื่องความเหมาะสมของตัวเอง
ภาพจาก : Marvel Studios